ผู้สูงอายุ มีการเปลี่ยนแปลงทางกายหลายอย่างที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ ได้แก่ การสูญเสียฟัน ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด การรับรสและรับกลิ่นเสื่อมลง ทำให้ไม่ค่อยเจริญอาหาร การย่อยและการดูดซึมอาหารของกระเพาะลำไส้ก็ลดลง ทำให้ท้องอืดเฟ้อได้ง่าย การนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ของร่างกายไม่ค่อยเหมาะสม ได้แก่ การนำสารอาหารโปรตีนไปใช้ได้น้อย แต่ร่างกายกลับสะสมไขมันมากทำให้อ้วนง่าย ในขณะที่ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ได้ช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้มากหลังอาหาร ลำไส้ใหญ่ก็เคลื่อนไหวลดลง ทำให้ท้องผูกง่าย

อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางกายดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคขาดอาหารได้ง่าย ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวัน ซึ่งอาหาร 5 หมู่ ดังกล่าว ประกอบด้วย
หมู่ที่ 1 พวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่ นม ใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
หมู่ที่ 2 พวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ใช้เป็นพลังงาน
หมู่ที่ 3 พวกผักต่าง ๆ มี เกลือแร่ และวิตามิน รวมทั้งกากใยอาหาร
หมู่ที่ 4 พวกผลไม้ มี เกลือแร่ วิตามิน และกากใยอาหารเช่นกัน
หมู่ที่ 5 พวกไขมัน เช่น ไขมันและน้ำมันจากสัตว์ และพืช ซึ่งให้พลังงานสูง
เนื่องจากความต้องการพลังงานและสารอาหารของผู้สูงอายุแตกต่างไปจากคนหนุ่มสาวหลายประการ ดังนั้น คำแนะนำเรื่องการกินอาหารสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นดังนี้

ผู้สูงอายุต้องการพลังงานน้อยลง เพราะไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงควรกินข้าว ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารประเภทแป้งให้น้อยลงบ้าง และควรหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลในรูปต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน หรือผลไม้บางชนิดที่หวานจัด เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย เพราะจะทำให้อ้วน และเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย
ผู้สูงอายุต้องการอาหารประเภทโปรตีนเท่า ๆ กับคนหนุ่มสาว แต่ควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี และย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่ไม่ติดมัน สำหรับผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีอาจต้องสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มหรือตุ๋นให้เปื่อย นอกจากนั้น ถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ และนมก็เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีและราคาถูก โดยผู้สูงอายุควรดื่มนมชนิดพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง วันละ 1-2 แก้ว ทุกวัน
สำหรับผู้สูงอายุที่ดื่มนมแล้วท้องอืดง่าย แนะนำให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ หลังอาหารแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นจะดีกว่า นอกจากนั้นผู้สูงอายุที่ไม่มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ไม่ควรกลัวการกินไข่มากเกินไป โดยสามารถกินไข่ได้ สัปดาห์ละ 3-5 ฟอง ส่วนผู้สูงอายุที่มีระดับโคเลสเตรอลในเลือดสูง อาจเลี่ยงไข่แดงโดยที่ยังกินไข่ขาวได้ไม่จำกัด
ผู้สูงอายุต้องการไขมันน้อยลง ควรหลีกเลี่ยงไขมันและน้ำมันจากสัตว์ โดยใช้น้ำมันพืชแทน (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและปาล์มซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้เกิดโรคเส้นเลือดตีบตันได้ง่าย) ผู้สูงอายุควรลดการกินอาหารที่ทอดในน้ำมัน และอาหารที่ใส่กะทิ เพราะทำให้ท้องอืดและอ้วนง่าย
ผู้สูงอายุต้องการแร่ธาตุโดยเฉพาะธาตุเหล็ก และแคลเซียมเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง และกระดูกโปร่งบาง โดยธาตุเหล็กมีมากในเนื้อสัตว์ และเครื่องในสัตว์ ส่วนแคลเซียมมีมากใน นม ปลาเล็กปลาน้อย และผักใบเขียว

ผู้สูงอายุควรกินผลไม้ และผักชนิดต่าง ๆ ทุกวัน เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่เพียงพอ นอกจากนั้นผักผลไม้ยังให้กากใยอาหาร เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ท้องไม่ผูก
ผู้สูงอายุควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว โดยอาจแบ่งดื่มครั้งละ 1 แก้ว หลังอาหารทุกมื้อ และระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายสดชื่น และท้องไม่ผูก
คำถามที่ได้ยินเสมอ คือ ผู้สูงอายุจำเป็นต้องกินอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ หรือวิตามินเพื่อบำรุงร่างกายหรือไม่ ซึ่งอาหารเสริมส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาดมักโฆษณาเกินจริง และมีราคาแพงมาก ดังนั้น ถ้าผู้สูงอายุที่แข็งแรงดี และสามารถกินอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวันดังที่ได้กล่าวแล้ว ก็ไม่น่าจะขาดอาหารและไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหาของดังกล่าว มากินเพิ่มเติม
ผู้สูงอายุควรกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ โดยเน้นความสำคัญ ที่มื้อเช้าและมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นควรกินอาหารเบา ๆ ที่ย่อยง่ายเพื่อเป็นการพักกระเพาะลำไส้ นอกจากนั้นผู้สูงอายุควรได้กินอาหารว่างระหว่างมื้อด้วย โดยยึดหลักว่ากินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลงแต่กินบ่อยขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มและรสจัด และควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรารวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในปริมาณมาก
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางกายดังกล่าวข้างต้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคขาดอาหารได้ง่าย ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวัน ซึ่งอาหาร 5 หมู่ ดังกล่าว ประกอบด้วย
หมู่ที่ 1 พวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่ นม ใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
หมู่ที่ 2 พวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ใช้เป็นพลังงาน
หมู่ที่ 3 พวกผักต่าง ๆ มี เกลือแร่ และวิตามิน รวมทั้งกากใยอาหาร
หมู่ที่ 4 พวกผลไม้ มี เกลือแร่ วิตามิน และกากใยอาหารเช่นกัน
หมู่ที่ 5 พวกไขมัน เช่น ไขมันและน้ำมันจากสัตว์ และพืช ซึ่งให้พลังงานสูง
เนื่องจากความต้องการพลังงานและสารอาหารของผู้สูงอายุแตกต่างไปจากคนหนุ่มสาวหลายประการ ดังนั้น คำแนะนำเรื่องการกินอาหารสำหรับผู้สูงอายุซึ่งเป็นดังนี้
ผู้สูงอายุต้องการพลังงานน้อยลง เพราะไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงควรกินข้าว ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารประเภทแป้งให้น้อยลงบ้าง และควรหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลในรูปต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน หรือผลไม้บางชนิดที่หวานจัด เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย เพราะจะทำให้อ้วน และเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย
ผู้สูงอายุต้องการอาหารประเภทโปรตีนเท่า ๆ กับคนหนุ่มสาว แต่ควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี และย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่ไม่ติดมัน สำหรับผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีอาจต้องสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มหรือตุ๋นให้เปื่อย นอกจากนั้น ถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ และนมก็เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีและราคาถูก โดยผู้สูงอายุควรดื่มนมชนิดพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง วันละ 1-2 แก้ว ทุกวัน
สำหรับผู้สูงอายุที่ดื่มนมแล้วท้องอืดง่าย แนะนำให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ หลังอาหารแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นจะดีกว่า นอกจากนั้นผู้สูงอายุที่ไม่มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ไม่ควรกลัวการกินไข่มากเกินไป โดยสามารถกินไข่ได้ สัปดาห์ละ 3-5 ฟอง ส่วนผู้สูงอายุที่มีระดับโคเลสเตรอลในเลือดสูง อาจเลี่ยงไข่แดงโดยที่ยังกินไข่ขาวได้ไม่จำกัด
ผู้สูงอายุต้องการไขมันน้อยลง ควรหลีกเลี่ยงไขมันและน้ำมันจากสัตว์ โดยใช้น้ำมันพืชแทน (ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและปาล์มซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้เกิดโรคเส้นเลือดตีบตันได้ง่าย) ผู้สูงอายุควรลดการกินอาหารที่ทอดในน้ำมัน และอาหารที่ใส่กะทิ เพราะทำให้ท้องอืดและอ้วนง่าย
ผู้สูงอายุต้องการแร่ธาตุโดยเฉพาะธาตุเหล็ก และแคลเซียมเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง และกระดูกโปร่งบาง โดยธาตุเหล็กมีมากในเนื้อสัตว์ และเครื่องในสัตว์ ส่วนแคลเซียมมีมากใน นม ปลาเล็กปลาน้อย และผักใบเขียว
ผู้สูงอายุควรกินผลไม้ และผักชนิดต่าง ๆ ทุกวัน เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่เพียงพอ นอกจากนั้นผักผลไม้ยังให้กากใยอาหาร เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้ท้องไม่ผูก
ผู้สูงอายุควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว โดยอาจแบ่งดื่มครั้งละ 1 แก้ว หลังอาหารทุกมื้อ และระหว่างมื้ออาหาร เพื่อให้ร่างกายสดชื่น และท้องไม่ผูก
คำถามที่ได้ยินเสมอ คือ ผู้สูงอายุจำเป็นต้องกินอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ หรือวิตามินเพื่อบำรุงร่างกายหรือไม่ ซึ่งอาหารเสริมส่วนใหญ่ที่มีขายในท้องตลาดมักโฆษณาเกินจริง และมีราคาแพงมาก ดังนั้น ถ้าผู้สูงอายุที่แข็งแรงดี และสามารถกินอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวันดังที่ได้กล่าวแล้ว ก็ไม่น่าจะขาดอาหารและไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหาของดังกล่าว มากินเพิ่มเติม
ผู้สูงอายุควรกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ โดยเน้นความสำคัญ ที่มื้อเช้าและมื้อกลางวัน ส่วนมื้อเย็นควรกินอาหารเบา ๆ ที่ย่อยง่ายเพื่อเป็นการพักกระเพาะลำไส้ นอกจากนั้นผู้สูงอายุควรได้กินอาหารว่างระหว่างมื้อด้วย โดยยึดหลักว่ากินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลงแต่กินบ่อยขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็มและรสจัด และควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรารวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในปริมาณมาก