การใช้ยาในเด็กจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด หรือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรใช้ยาเองโดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

การใช้ยาในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
-ในแง่การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย ระบบการดูดซึมของเด็กต่างจากผู้ใหญ่เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น กระเพาะอาหารมีสภาวะความเป็นกรดน้อยกว่า และมีการบีบตัวมากกว่าผู้ใหญ่ ผิวหนังของเด็กบอบบางกว่าผู้ใหญ่ การใช้ยาทางผิวหนังจึงดูดซึมได้ง่ายกว่า
-ในแง่การเผาผลาญทำลายยาและการขับถ่ายออกของยา ตับและระบบเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการนี้ของเด็กยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ขจัดยาได้ไม่ดี
-ในแง่น้ำหนักตัว ส่วนสูง พื้นที่ผิวของร่างกาย เด็กจะมีน้ำหนักตัว ส่วนสูง พื้นที่ผิวของร่างกายน้อยกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นขนาดยาของเด็กจึงควรน้อยกว่าของผู้ใหญ่
ยาที่ควรระวังเมื่อใช้กับเด็ก
1.กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะนิยมทำเป็นรูปผงแห้ง ก่อนผสมน้ำต้องเคาะขวดให้ผงยากระจายออก ไม่เกาะติดกัน และเติมน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เขย่าให้เข้ากัน จึงใช้ได้ การเติมน้ำให้ได้ระดับที่กำหนดจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของยา และยาบางชนิดเมื่อผสมน้ำแล้ว ต้องเก็บในตู้เย็นด้วย
ควรรับประทานยาตามขนาดและเวลาให้ถูกต้อง รับประทานยาติดต่อกันตามที่แพทย์กำหนดหรือจนหมดขวด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นบ้างก่อนยาหมดก็ตาม แต่ถ้าแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้นหลังจากรับประทานยา ให้หยุดยาทันที และห้ามใช้ยาชนิดนั้นอีก ยาปฏิชีวนะที่ห้ามใช้ในเด็ก ได้แก่ คลอแรมเฟนิคอล และเตตราซัยคลิน
2.ยาลดไข้ ควรเลือกใช้ยาชนิดที่ปลอดภัยแก่เด็ก ให้เด็กรับประทานยาทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้าไข้ยังไม่ลด สามารถให้ซ้ำได้อีกทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าอาการไข้ไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ ห้ามใช้ยาลดไข้แอสไพรินและไอบูโพรเฟน ในโรคไข้เลือดออกหรืออีสุกอีใส หากยังไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยง
นอกจากการใช้ยาลดไข้แล้ว ควรเช็ดตัวเด็กด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา โดยเช็ดตามข้อพับ ตามซอกต่างๆ และลำตัว จะช่วยระบายความร้อนและลดไข้ได้ดีขึ้น
3.ยาแก้ไอ ไม่ควรนำยาน้ำแก้ไอสำหรับผู้ใหญ่มาใช้ในเด็ก เพราะยาจะกดศูนย์กลางการหายใจ อาจทำให้หยุดหายใจได้
4.ยาแก้ท้องเสีย ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ท้องเสียที่แรงๆ ในเด็กเล็ก เพราะยาอาจกดการหายใจได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กที่ท้องเสีย คือการให้น้ำและเกลือแร่ชดเชย เพราะเด็กมักจะขาดน้ำและเสียชีวิตได้จากการท้องเสียมากๆ อาการขาดน้ำที่สังเกตได้ก็คือ กระหม่อมบุ๋ม หายใจหอบ ตัวเย็น ควรรีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว

หลักการทั่วไปในการให้ยาเด็ก
1.เก็บยาในที่ที่เด็กหยิบไม่ถึง
2.ต้องแน่ใจและพยายามให้เด็กรับประทานยาจนครบ
3.ควรเลือกยาที่มีรสดีพอสมควร ถ้าเป็นยาขม ให้ผสมกับน้ำเชื่อม
4.ไม่ควรผสมยาลงไปในนมทั้งขวด เพราะหากเด็กดื่มนมไม่หมดขวด จะทำให้ได้รับยาไม่ครบขนาด และอาจมีผลต่อเนื่อง ทำให้เด็กเบื่อนมและอาหาร
5.ถ้าเด็กไปโรงเรียนแล้ว ควรไปพบครูที่โรงเรียนเพื่อฝากยาไว้ให้ป้อนเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับยาครบตามขนาดและเวลา
6.ถ้าเด็กไม่ให้ความร่วมมือในการรับประทานยา ควรใช้วิธีชักชวนที่ถูกต้อง เช่น ชี้ถึงโทษของการไม่รับประทานยา ความไม่ดีของโรคนั้น ไม่ควรใช้วิธีข่มขู่บังคับ
7.ควรใช้ช้อนยาที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ได้ยาที่ถูกขนาด คือ 1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลลิลิตร (ซีซี) และ 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 15 มิลลิลิตร (ซีซี) หรือ 3 ช้อนชา ซึ่งช้อนที่ใช้รับประทานข้าวหรือชงกาแฟจะไม่ได้มาตรฐานตามนี้
8.ในขณะที่เด็กร้องหรือดิ้น ไม่ควรกรอกยาใส่ปาก เพราะอาจทำให้เด็กสำลักได้
9.เด็กโตที่มีอายุมากกว่า 12 ปี หรือน้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัม อาจให้ยาในขนาดเท่ากับผู้ใหญ่ แต่ต้องไม่มากกว่า
ข้อแนะนำในการเก็บรักษายา
โดยทั่วไปแล้ว หากไม่ได้ระบุเป็นอย่างอื่น ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เก็บในที่แห้ง ที่อุณหภูมิปกติ ประมาณ 15-30 องศาเซลเซียส พ้นจากแสงแดด สำหรับยาบางชนิดที่มีวิธีการเก็บรักษาพิเศษ เช่น เก็บในตู้เย็น หรือต้องใส่ขวดสีชาเพื่อป้องกันแสง ก็ควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะได้เก็บรักษายาให้สามารถใช้ได้นานตามอายุของยานั้นๆ
ทั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพของยา ทั้งความชื้น แสงแดด รวมถึงอุณหภูมิ ซึ่งยาเสื่อมสภาพอาจมีลักษณะทางกายภาพเหมือนเดิมทุกประการ แต่ตัวยาสำคัญไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ เช่น ยาสูดพ่นเข้าคอ หากเก็บในตู้เย็น จะทำให้ก๊าซขับดันทำงานได้น้อยลง ตัวยาจะถูกขับดันออกมาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เป็นต้น
ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรทำความเข้าใจฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการใช้ยาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ยาที่รับประทานมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด และเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายน้อยที่สุด
การใช้ยาในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
-ในแง่การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย ระบบการดูดซึมของเด็กต่างจากผู้ใหญ่เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น กระเพาะอาหารมีสภาวะความเป็นกรดน้อยกว่า และมีการบีบตัวมากกว่าผู้ใหญ่ ผิวหนังของเด็กบอบบางกว่าผู้ใหญ่ การใช้ยาทางผิวหนังจึงดูดซึมได้ง่ายกว่า
-ในแง่การเผาผลาญทำลายยาและการขับถ่ายออกของยา ตับและระบบเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการนี้ของเด็กยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ขจัดยาได้ไม่ดี
-ในแง่น้ำหนักตัว ส่วนสูง พื้นที่ผิวของร่างกาย เด็กจะมีน้ำหนักตัว ส่วนสูง พื้นที่ผิวของร่างกายน้อยกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นขนาดยาของเด็กจึงควรน้อยกว่าของผู้ใหญ่
ยาที่ควรระวังเมื่อใช้กับเด็ก
1.กลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะนิยมทำเป็นรูปผงแห้ง ก่อนผสมน้ำต้องเคาะขวดให้ผงยากระจายออก ไม่เกาะติดกัน และเติมน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เขย่าให้เข้ากัน จึงใช้ได้ การเติมน้ำให้ได้ระดับที่กำหนดจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของยา และยาบางชนิดเมื่อผสมน้ำแล้ว ต้องเก็บในตู้เย็นด้วย
ควรรับประทานยาตามขนาดและเวลาให้ถูกต้อง รับประทานยาติดต่อกันตามที่แพทย์กำหนดหรือจนหมดขวด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นบ้างก่อนยาหมดก็ตาม แต่ถ้าแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้นหลังจากรับประทานยา ให้หยุดยาทันที และห้ามใช้ยาชนิดนั้นอีก ยาปฏิชีวนะที่ห้ามใช้ในเด็ก ได้แก่ คลอแรมเฟนิคอล และเตตราซัยคลิน
2.ยาลดไข้ ควรเลือกใช้ยาชนิดที่ปลอดภัยแก่เด็ก ให้เด็กรับประทานยาทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้าไข้ยังไม่ลด สามารถให้ซ้ำได้อีกทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าอาการไข้ไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ ห้ามใช้ยาลดไข้แอสไพรินและไอบูโพรเฟน ในโรคไข้เลือดออกหรืออีสุกอีใส หากยังไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยง
นอกจากการใช้ยาลดไข้แล้ว ควรเช็ดตัวเด็กด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา โดยเช็ดตามข้อพับ ตามซอกต่างๆ และลำตัว จะช่วยระบายความร้อนและลดไข้ได้ดีขึ้น
3.ยาแก้ไอ ไม่ควรนำยาน้ำแก้ไอสำหรับผู้ใหญ่มาใช้ในเด็ก เพราะยาจะกดศูนย์กลางการหายใจ อาจทำให้หยุดหายใจได้
4.ยาแก้ท้องเสีย ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ท้องเสียที่แรงๆ ในเด็กเล็ก เพราะยาอาจกดการหายใจได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กที่ท้องเสีย คือการให้น้ำและเกลือแร่ชดเชย เพราะเด็กมักจะขาดน้ำและเสียชีวิตได้จากการท้องเสียมากๆ อาการขาดน้ำที่สังเกตได้ก็คือ กระหม่อมบุ๋ม หายใจหอบ ตัวเย็น ควรรีบนำส่งแพทย์โดยเร็ว
หลักการทั่วไปในการให้ยาเด็ก
1.เก็บยาในที่ที่เด็กหยิบไม่ถึง
2.ต้องแน่ใจและพยายามให้เด็กรับประทานยาจนครบ
3.ควรเลือกยาที่มีรสดีพอสมควร ถ้าเป็นยาขม ให้ผสมกับน้ำเชื่อม
4.ไม่ควรผสมยาลงไปในนมทั้งขวด เพราะหากเด็กดื่มนมไม่หมดขวด จะทำให้ได้รับยาไม่ครบขนาด และอาจมีผลต่อเนื่อง ทำให้เด็กเบื่อนมและอาหาร
5.ถ้าเด็กไปโรงเรียนแล้ว ควรไปพบครูที่โรงเรียนเพื่อฝากยาไว้ให้ป้อนเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับยาครบตามขนาดและเวลา
6.ถ้าเด็กไม่ให้ความร่วมมือในการรับประทานยา ควรใช้วิธีชักชวนที่ถูกต้อง เช่น ชี้ถึงโทษของการไม่รับประทานยา ความไม่ดีของโรคนั้น ไม่ควรใช้วิธีข่มขู่บังคับ
7.ควรใช้ช้อนยาที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ได้ยาที่ถูกขนาด คือ 1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลลิลิตร (ซีซี) และ 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 15 มิลลิลิตร (ซีซี) หรือ 3 ช้อนชา ซึ่งช้อนที่ใช้รับประทานข้าวหรือชงกาแฟจะไม่ได้มาตรฐานตามนี้
8.ในขณะที่เด็กร้องหรือดิ้น ไม่ควรกรอกยาใส่ปาก เพราะอาจทำให้เด็กสำลักได้
9.เด็กโตที่มีอายุมากกว่า 12 ปี หรือน้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัม อาจให้ยาในขนาดเท่ากับผู้ใหญ่ แต่ต้องไม่มากกว่า
ข้อแนะนำในการเก็บรักษายา
โดยทั่วไปแล้ว หากไม่ได้ระบุเป็นอย่างอื่น ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เก็บในที่แห้ง ที่อุณหภูมิปกติ ประมาณ 15-30 องศาเซลเซียส พ้นจากแสงแดด สำหรับยาบางชนิดที่มีวิธีการเก็บรักษาพิเศษ เช่น เก็บในตู้เย็น หรือต้องใส่ขวดสีชาเพื่อป้องกันแสง ก็ควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะได้เก็บรักษายาให้สามารถใช้ได้นานตามอายุของยานั้นๆ
ทั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพของยา ทั้งความชื้น แสงแดด รวมถึงอุณหภูมิ ซึ่งยาเสื่อมสภาพอาจมีลักษณะทางกายภาพเหมือนเดิมทุกประการ แต่ตัวยาสำคัญไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ เช่น ยาสูดพ่นเข้าคอ หากเก็บในตู้เย็น จะทำให้ก๊าซขับดันทำงานได้น้อยลง ตัวยาจะถูกขับดันออกมาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เป็นต้น
ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรทำความเข้าใจฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการใช้ยาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ยาที่รับประทานมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด และเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายน้อยที่สุด