xs
xsm
sm
md
lg

พ่อ แม่หนูอยู่ไหน? เสียงครวญหลัง “สึนามิ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสียงร่ำไห้และคราบน้ำตาจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์ “สึนามิ” โหมเข้ากระหน่ำพื้นที่ 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามันของไทย ยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึกของทุกคน ชีวิตนับพันที่ต้องดับสูญไปกับภัยธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่คือความสูญเสียที่ไม่เคยมีใครคาดคิด

ร่างไร้วิญญาณทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ไทย เทศ ที่หน่วยกู้ภัยกอบกู้ขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ไร้ซึ่งการรับรู้ใดๆ โดยที่ก่อนหน้านี้พวกเขาคงพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดจากกระแสน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่จนวาระสุดท้ายของชีวิต...แต่บางทีการสิ้นสุดการต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา อาจหมายถึงอีกหลายๆ ชีวิตที่ต้องไขว่คว้าหาทางรอดสำหรับชีวิตในวันพรุ่งนี้ต่อไป

“เมษา เสนาสะนะ” เด็กน้อยที่ต้องกลายเป็น“เด็กกำพร้า” ด้วยวัยเพียง 6 ปี โดยที่ก่อนหน้านี้เมษามีครอบครัวพร้อมหน้าทั้งพ่อและแม่ จนวันที่คลื่นยักษ์พัดเข้าสู่ฝั่งและพาเอาบ้านเรือนบริเวณบ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ราบพนาสูญ ผู้คนบนฝั่งสูญหายพร้อมกับพ่อและแม่ของเด็กชายเมษาเช่นกัน

วันนั้นเมษาพร้อมด้วยเพื่อนอีก 2 คนชักชวนกันออกไปถีบจักรยานเล่นตามประสาเด็ก จนได้ยินเสียงผู้ใหญ่ตะโกนบอกว่าน้ำมาให้รีบหนี 3 เด็กน้อยพากันตั้งหน้าตั้งตาปั่นรถถีบเท่าที่กำลังขาจะไปไหว ในใจเมษาคิดแต่เพียงว่าจะถีบรถไปวัดบ้านน้ำเค็ม เมื่อถามว่าทำไมถึงคิดว่าจะไปวัด เด็กน้อยตอบโดยไม่ลังเลว่า “วัดอยู่สูง”

ระหว่างทางปั่นจักรยานคู่ชีพ 3 เด็กน้อยได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่จับขึ้นรถและพาไปไว้ที่วัดบ้านน้ำเค็ม ร่วมกับผู้หนีน้ำคนอื่นๆ ทั้ง 3 คนปลอดภัย

คืนนั้นเมษาพักค้างคืนที่วัดโดยมีย่าและน้าสาวตามมาสมทบ จนรุ่งเช้าย่าและน้าจึงเริ่มพาเมษาออกตามหาญาติพี่น้องที่พลัดหลงกัน แต่ก็ไร้วี่แววบิดา มารดาของเด็กน้อย

ความรับรู้ประสาเด็กอาจยังไม่รู้ว่า “ความตาย” คืออะไร เด็กชายเมษาจึงยังยิ้มหัวเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ภายในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ ได้ โดยที่เพื่อนบางคนก็ยังตามหาพ่อหรือแม่อยู่เช่นกัน และแม้จะเล่นสนุกได้แค่ไหน เด็กทุกคนล้วนบ่นคิดถึงพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่สูญหายไป

เมษา บอกกับผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการ ในวันที่ความช่วยเหลือลงไปถึงพื้นที่ประสบภัยว่า เขาไม่อยากเรียนหนังสือ โดยให้เหตุผลของการไม่อยากเรียนหนังสือว่า “ไม่มีเงินเรียน” จนได้รับการยืนยันว่ากระทรวงศึกษาฯ จะหาทุนให้เรียน เมษาจึงพยักหน้ารับที่จะเรียนหนังสือ

ส่วนความฝันของเด็กชายตัวน้อยนั้นเขา “อยากเป็นพระ” ซึ่งน้าสาวของเมษาเล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะเมษาชอบไปเล่นที่วัด และพระในวัดก็มักจะหาข้าว หาขนมมาให้เมษากิน จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากเป็นพระ

ชีวิตหลังคลื่นสึนามิของเมษาคงต้องอยู่ในความดูแลของน้าสาวและย่า เพราะแม้จะไม่พบร่างของพ่อแม่ แต่โอกาสรอดชีวิตของจำนวนผู้สูญหายทั้งหมดดูรางเลือนเต็มที และเมษาไม่ใช่เด็กคนเดียวที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า เขาเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนเด็กหลายคนเท่านั้น ถึงวันนี้เด็กน้อยน่าจะรู้แล้วว่า เขาคงไม่มีโอกาสที่จะได้พบหน้าพ่อและแม่อีก เช่นเดียวกับเด็กชายหญิงอีกหลายคนที่เริ่มรับรู้แล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าคนในครอบครัวอีกต่อไป เพียงแต่พวกเขายังไม่รู้เท่านั้นเองว่าการที่พวกเขาต้องต่อสู้โดยจะต้องขาดพ่อหรือแม่นั้นเป็นอย่างไร

สำหรับ สันติ ช่วงทิศ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ร.ร.บ้านน้ำเค็ม เหตุการณ์ครั้งนี้คงจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำอีกยาวนาน สันติ หนีเอาชีวิตรอดมาได้ โดยอาศัยรถของคนในหมู่บ้านหนีขึ้นภูเขา แม้คนในครอบครัวจะไม่สูญหาย แต่เพื่อนหลายคนของสันติถูกกลืนหายไปกับสายน้ำ

“หลังน้ำลดผมก็เข้ามาอยู่ที่ศูนย์ฯ กับแม่ แต่ยังไม่ได้กลับไปดูที่บ้านเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าคงไปกับน้ำหมด ผมออกไปช่วยหาศพกับหน่วยกู้ภัย กับคนในหมู่บ้านบริเวณป่าโกงกางด้วย ที่ผมไปเจอมา 6 ศพแล้วครับ เป็นคนในหมู่บ้านและก็เพื่อนผมเอง”สันติเปิดปากบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาลงมือทำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

สันติบอกด้วยว่า วันแรกที่ออกไปหาศพพอเจอคนที่รู้จักหรือเจอเพื่อนเสียชีวิต เขาก็จะเดินร้องไห้ไปบอกกับผู้ใหญ่ให้ไปเก็บศพ ซึ่งหลังจากโรงเรียนเปิดเรียนสันติเชื่อว่าจำนวนนักเรียนในโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม คงจะลดลงไปไม่น้อยทีเดียว และที่สันติเป็นห่วงคือ โรงเรียนประถมของน้องๆ ที่ถูกพัดหายไปทั้งหลังและอยากให้ทางการรีบก่อสร้างให้ใหม่โดยเร็ว

ประสบการณ์หนีตายที่หลั่งไหลออกจากปากน้อยๆ ของเด็กๆ ที่มาอาศัยอยู่ในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ หลายคนถ่ายทอดออกมาแล้วทำให้ผู้ใหญ่อดหัวเราะไม่ได้ หลายคนทำให้ผู้ใหญ่ทึ่งกับความกล้าหาญและสัญชาติญาณเอาตัวรอดของเขา หลายคนตาแดงเมื่อเอ่ยถึงคนในครอบครัว และจากนี้ต่อไปเด็กหลายคนต้องมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น