xs
xsm
sm
md
lg

Biofeedback ฝึกเบ่ง ไม่เกร็ง แก้ “ท้องผูก”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เบ่ง เกร็งจนหน้าเขียวหน้าเหลือง อยู่ในห้องน้ำนานนับชั่วโมง ไม่มีอาการอยากถ่ายติดต่อกันเป็นอาทิตย์ หรือ พาล เซ็งไม่อยากเข้าห้องน้ำนานติดต่อกันหลายวัน เพราะเบื่อที่เบ่งเท่าไรก็ไม่ถ่าย นั่นคือสัญญาณเตือนภัยแรกเริ่มของผู้ที่มีอาการ “ท้องผูก” หนึ่งในสามโรคฮอตฮิตระบบทางเดินอาหารของคนไทย ที่แม้จะเป็นกันมาก แต่ความเข้าใจ และการให้ความสำคัญกับโรคนี้ในคนไทยยังไม่ดีเท่าที่ควร จนคุณภาพชีวิตผู้ป่วยหลายรายแย่ลงมาก

เกือบหนึ่งในสี่ของคนไทยที่คิดว่าตัวเองมีปัญหาท้องผูกนั้น เมื่อตรวจสอบในรายละเอียดกลับพบว่ามีเพียง 8% เท่านั้นที่มีปัญหาในการเบ่งอุจจาระลำบาก และ 3% ที่มีปัญหาถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ ยิ่งกว่านั้นผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกรุนแรงเรื้อรังประมาณหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งมาจากสาเหตุที่แก้ไขได้ แต่ในปัจจุบันผู้ป่วยส่วนใหญ่กลับละเลย เพราะไม่เห็นเป็นปัญหาฉุกเฉิน รุนแรง และแพทย์ส่วนใหญ่มักจะรักษาตามอาการด้วยยาระบาย ส่งผลให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่รักษาให้อาการดีขึ้นได้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

Biofeedback ฝึก “ขับถ่าย” ให้เป็นธรรมชาติ

ผ.ศ.น.พ.สุเทพ กลชาญวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินอาหาร จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าอาการท้องผูกคือภาวะที่มีความถี่ในการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ โดยคนปกติจะถ่ายอุจจาระตั้งแต่วันละ 3 ครั้ง ถึง 3 ครั้ง/สัปดาห์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์จะถือว่ามีอาการท้องผูก ซึ่งอาการท้องผูกจะสัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระลำบาก ต้องใช้เวลาเบ่งนานมากกว่าปกติ มีอาการเจ็บทวารหนักเวลาถ่าย อุจจาระเป็นก้อนแข็ง รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด และมีความรู้สึกว่าถ่ายไม่ออกเนื่องจากมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก

อย่างไรก็ตามแม้ผู้ป่วยบางรายจะสามารถถ่ายอุจจาระได้มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง/สัปดาห์ ทว่าในแต่ละครั้งที่ถ่ายกลับเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องเบ่งมาก หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด แพทย์ก็ถือว่ามีอาการท้องผูกเช่นกัน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีปัญหาเกี่ยวกับทวารหนักและการควบคุมกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการขับถ่าย ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้

แม้อาการท้องผูกจะไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตมาก โดยเฉพาะในรายที่เป็นเรื้อรัง และอาจส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายที่เป็นมากเกิดเป็นลมขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และยังเป็นอันตรายกับผู้ที่มีกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดปกติอีกด้วย นอกจากนั้นในรายที่เบ่งรุนแรงมาก กล้ามเนื้อจะหย่อน ปลิ้น ลำไส้ใหญ่ปลิ้น แลบออกมา กล้ามเนื้อเชิงกรานหย่อนยาน เพราะถูกยืดถูกดึงมาก ซึ่งในระยะยาวอาจจะไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อเสื่อมสมรรถภาพ

ผ.ศ.น.พ.สุเทพอธิบายว่าอาการท้องผูกเกิดจาก 4 สาเหตุสำคัญคือ ปัญหาทางกาย เช่น เบาหวาน ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ ภาวะแคลเซี่ยมในเลือดสูง ปัญหาจากยาที่รับประทานประจำ เช่น กลุ่มยาทางจิตเวช ยาที่มีฤทธิ์ anticholinergic ยากันชัก ยาลดความดันโลหิต ปัญหาจากการอุดกั้นของทางเดินอาหาร เช่นมะเร็งหรือเนื้องอกของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ลำไส้ตีบตัน ลำไส้บิดพันกัน และสาเหตุจากการเคลื่อนไหวของลำไส้หรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ภาวะลำไส้แปรปรวน การบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการเบ่ง

ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกติดต่อกันเกิน 3 เดือน โดยไม่ต้องมีอาการติดต่อกันทุกวัน ก็ถือว่ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง โดยเฉพาะในรายที่เป็นรุนแรง เรื้อรัง และยังพบด้วยว่าผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังส่วนใหญ่จะหาสาเหตุไม่พบ แต่ถ้านำมาตรวจการเคลื่อนไหวของลำไส้และการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณทวารหนักจะพบว่ากว่าครึ่งมีการเคลื่อนไหวของลำไส้หรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายผิดปกติ ซึ่งจะสามารถรักษาได้ด้วยการทำ Biofeedback

“ในกลุ่มผู้ป่วยที่เบ่ง ถ่ายอุจจาระไม่ถูกซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 30-40% ของผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกทั้งหมด จะรักษาให้หายขาดได้ด้วยการทำ Biofeedback สูงเกินกว่า 60% ซึ่งการฝึกการขับถ่าย บังคับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักนี้ ผู้ป่วยจะติดสายวัดระดับการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อดูว่ากล้ามเนื้อหูรูดทำงานอย่างไร ทำถูกขั้นตอนไหม เป็นการบังคับกล้ามเนื้อตามธรรมชาติในการขับถ่าย โดยผู้ป่วยจะดูผ่านจอมอนิเตอร์ โดยมีพยาบาล แพทย์คอยให้คำแนะนำ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการใช้ยาถ่าย และการทำดีท็อกซ์ได้ ในการทำ Biofeedback แต่ละครั้งจะใช้เวลาเพียง 30-45 นาที และที่สำคัญผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่รักษาด้วยวิธีนี้จะทำสำเร็จใน 2-3 ครั้งแรกเท่านั้น”

ยาถ่าย-ดีท็อกซ์ ผลข้างเคียงที่ยังต้องพิสูจน์

ผ.ศ.น.พ.สุเทพอธิบายเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยท้องผูกที่ไม่ทราบสาเหตุจะมีด้วยกัน 3 กลุ่ม โดย กลุ่มแรกจะเป็นผู้ป่วยที่ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวช้า ส่งผลให้อุจจาระมาช้า ไม่รู้สึกอยากถ่าย กลุ่มที่สอง ผู้ป่วยที่เมื่อต้องการถ่ายอุจจาระ จะเบ่งไม่ถูก รู้สึกปวดท้อง อยากถ่าย แต่กล้ามเนื้อหูรูด ทวารหนักจะเกร็ง ส่วนกลุ่มที่ 3 ผู้ป่วยที่ลำไส้ กล้ามเนื้อหูรูดผิดปกติ เป็นโรคลำไส้แปรปรวน มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น แก๊ส และเป็นกลุ่มที่ชอบใช้ยาระบาย และดีท็อกซ์ (Detox)

ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกจะพบได้ทั้งในวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยชรา แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่า โดยผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นโรคท้องผูก มักจะใช้วิธีการทานยาระบาย หรือการทำดีท็อกซ์ ซึ่งในระยะยาวยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าการใช้ยาระบายหรือการทำดีท็อกซ์จะส่งผลข้างเคียง หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างไรบ้าง และที่สำคัญยังไม่มีผลการวิจัยที่ชี้ความสัมพันธ์ระหว่างการทานยาถ่ายหรือการทำดีท็อกซ์กับการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งอาจมีอาการท้องผูกร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย โลหิตซีดจาง

ผ.ศ.น.พ.สุเทพแนะนำว่าสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกควรจะหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ความเครียด และก่อนรักษาจะต้องตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุแท้จริงของอาการ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกน้อย ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะ กล้ามเนื้อหูรูดจะได้เคลื่อนไหวดีขึ้น หรือเริ่มทานยาระบายอ่อนๆ ประเภทไฟเบอร์ก่อน เพราะจะไม่เป็นอันตรายกับร่างกาย แต่ในรายที่มีอาการท้องผูกมากๆ ยาระบายประเภทไฟเบอร์จะไม่ได้ผลในการรักษาแต่อย่างใด

“การรักษาอาการท้องผูกปัจจุบันนี้ยังได้รับความสนใจ ความเข้าใจจากคนไทยส่วนใหญ่น้อย จึงคิดว่าในอนาคตข้างหน้าจะเปิดบริการคลินิกท้องผูกขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยท้องผูกที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และตอบสนองต่อการรักษาอาการท้องผูกที่เฉพาะทางมากขึ้นด้วย เพื่อผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาตรงตามอาการที่เป็น และมีประสิทธิภาพมากสุด”
กำลังโหลดความคิดเห็น