ย้อนกลับไปวันที่ 27 ก.ค.47 อาสาสมัครกรีนพีซซึ่งนำโดย ดร.จิรากรณ์ คชเสนี ผู้อำนวยการบริหารกรีนพีช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้นำเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครบุกเข้าทลายแปลงทดลอง “มะละกอจีเอ็มโอ” ของกรมวิชาการเกษตรที่ขอนแก่น หลังลงพื้นที่ตรวจสอบหาสารปนเปื้อนในแปลงทดลองปลูกมะละกอ ของสำนักงานวิจัยและการพัฒนาเกษตรที่ 3 ส่วนแยกพืชสวน ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ผลการทดสอบเมล็ดพันธุ์มะละกอในสายพันธุ์แขกดำท่าพระ ปรากฏว่า มีการปนเปื้อนของมะละกอตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) ซึ่งเป็นพันธุ์พืชต้องห้ามที่ทางรัฐบาลยังไม่อนุมัติให้มีการเพาะปลูกหรือจำหน่ายในประเทศ สร้างความแตกตื่นให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่า พืชแฟรงเกนสไตน์เหล่านี้จะกระทบกับทรัพยากรชีวภาพของไทยอย่างไรบ้าง
แต่เหตุการณ์ไม่จบเพียงเท่านั้น เนื่องจากนางวิไล ปราสาทศรี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาเกษตรที่ 3ได้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับ ดร.จิรากรณ์พร้อมพรรคพวกในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการและลักทรัพย์ของทางราชการ จนทำให้เกิดความเสียหาย
ทั้งนี้ นางวิไล กล่าวว่า มะละกอจีเอ็มโอ ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย ไม่อนุญาตให้นำออกไปจากแปลงทดลอง ซึ่งถ้ามีการเผยแพร่เมล็ดมะละกอจีเอ็มโอ ของสถานีออกไปจะถือว่าบุคคลดังกล่าวนำออกไปเผยแพร่ให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงาน เพราะยังอยู่ในระหว่างการทดลองยังไม่มีการเผยแพร่เมล็ดพันธุ์สู่สาธารณชน และประมาณราคาไม่ได้เนื่องจากเป็นผลงานวิจัยเพราะถ้าสำเร็จแล้วก็จะเกิดผลดีต่อสาธารณชน และการบุกรุกในครั้งนี้ทำให้รัฐเสียงบประมาณไปกว่า 10 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พ.ย.47 ที่ผ่านมา ดร.จิรากรณ์ได้ขึ้นศาลฐานตามหมายนัด โดยได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อชี้แจงต่อศาลว่าได้กระทำการเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เห็นว่ากรมวิชาการเกษตรเป็นผู้กระทำผิดจริง และการยื่นฟ้องกรีนพีซของกรมวิชาการเกษตรฯ ก็เพื่อบิดเบือนประเด็นและยืนยันว่า กลุ่มกรีนพีซฯไม่ได้นำมะละกอออกจากแปลงทดลอง พร้อมประกาศเดินหน้าในการเรียกร้องต่อไป เพื่อให้รัฐบาลออกประกาศห้ามการทดลองพืชจีเอ็มโอในไร่นาเปิดทั้งหมด รวมทั้งในพื้นที่ควบคุมและศูนย์วิจัยของภาครัฐเองด้วย
สำหรับการนัดพร้อมของศาลจังหวัดขอนแก่นครั้งนี้ ได้กำหนดวันสืบพยานโจทก์และจำเลยปากแรก ในวันที่ 30 มี.ค.48 ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น
อย่างไรก็ตาม ต่อมากรมวิชาการเกษตรได้ส่งตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ มะละกอไปตรวจยืนยันสารพันธุกรรม และผลการตรวจสอบพบว่า มีการปนเปื้อนจริง ซึ่งกรมวิชาการเกษตรก็ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ก็การสอบสวนไม่ได้ว่า มะละกอดังกล่าวหลุดออกไปจากแปลงทดลองได้อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ
ขณะที่เหตุการณ์ยังไม่ยุติ คณะกรรมการศึกษาคำขอสิทธิบัตรสหรัฐฯ ซึ่งรมว.กระทรวงเกษตรฯ ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบกรณีมูลนิธิวิจัยคอร์แนลขอจดสิทธิบัตรมะละกอจีเอ็มโอ ก็มีความเห็นพ้องกันหลังจากที่มีการประชุมร่วมกันถึง 2 ครั้งว่า ควรคัดค้านการยื่นขอสิทธิบัตร ด้วยเหตุผลว่า งานประดิษฐ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเคยมีการตีพิมพ์งานประดิษฐ์ใน Gene Bank และ State Pacific gernal แล้ว
นอกจากนั้น ยังมีเหตุผลโต้แย้งสิทธิของคอร์แนลที่สำคัญ โดยใช้เหตุผลตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวคือ สารพันธุกรรมในสายพันธุ์ไทย (มะละกอแขกดำ แขกนวล) เป็นของไทย การนำไปดำเนินการใดๆ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ มูลนิธิวิจัยคอร์แนลยื่นขอจดสิทธิบัตรสารพันธุกรรมไวรัสจุดวงแหวนมะละกอ หมายเลข 20030172397 ที่สหรัฐฯ และยื่นจดต่อ WIPO (World Intellectual Property Organization) ซึ่งมีกลุ่มประเทศที่ร่วมอยู่ในสนธิสัญญาความร่วมมือทางสิทธิบัตร (PCT) ที่คอร์แนลขอให้คุ้มครองสิทธิกว่า 40 ประเทศ หากไทยยื่นคัดค้านการขอจดสิทธิบัตรของคอร์แนล ก็ต้องยื่นทั้งสหรัฐฯ และ WIPO และมีความเป็นไปได้ที่ต้องตามไปคัดค้านทั้งกว่า 40 ประเทศสมาชิก
สำหรับการต่อสู้ในคดีสิทธิบัตรครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญ เพราะหากไทยแพ้คดี จะถูกยกเป็นตัวอย่างและเป็นบรรทัดฐานในการขอสิทธิบัตรตัวอื่นๆ ที่สถาบันวิจัยหรือองค์กรอื่นใดจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกรณีการขอจดสิทธิบัตรพืชพันธุ์อื่นๆ ซึ่งเวลานี้หน่วยงานวิจัยและสถาบันการศึกษาของไทยมีความร่วมมือวิจัยพัฒนาพืชพันธุ์อื่นๆ นับสิบชนิด