โฆษกสธ. เตือนสติวัยรุ่นไทยที่ตกเป็นทาสยาลดความอ้วน รีดไขมัน หวังสวยทางลัด ระวังจะสวยแบบไร้สมอง เพราะสติฟั่นเฟือน แนะวิธีสร้างหุ่นสวย มั่นใจ ด้วยการออกกำลังกาย ด้วยการเป็นสมาชิกชมรมสร้างสุขภาพ ได้ความรู้ในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับรองได้ทั้งหุ่นสวยและสุขภาพดี
นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีวัยรุ่นรายหนึ่งอยากผอมเพรียวตามสมัยนิยม และกินยาลดความอ้วนเป็นเวลานานจนสติเลอะเลือนถึงขั้นจำอะไรไม่ได้กว่า 2 ปี และมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปเหมือนคนเป็นโรคจิต มีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง พูดเพ้อคนเดียว อยากฆ่าตัวตาย จนพ่อแม่ต้องพาเข้ารักษาตัว
หลังจากรักษาจนอาการดีขึ้นต้องตั้งต้นหัดเขียน ก.ไก่ เหมือนเด็กอนุบาลว่า กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดี เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับวัยรุ่นไทยที่มีค่านิยมยิ่งผอมยิ่งสวย ชอบอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบตะวันตกที่ทำให้อ้วนง่าย อยากผอม แต่ขี้เกียจออกกำลังกาย เลยหวังสวยทางลัด ด้วยการใช้ยาลดความอ้วน และยอมเสี่ยงอันตรายกับภัยของยาลดความอ้วนที่มีผลข้างเคียงมาก ได้แก่ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้
นางนิตยา กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่มีใช้ในประเทศไทย จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 อย. จะเป็นผู้ควบคุมสั่งผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเพียงผู้เดียว และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วย แต่จากการสำรวจของกองควบคุมวัตถุเสพติด อย. พบว่า สถานพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการจ่ายยาลดความอ้วนให้ประชาชนโดยไม่ได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ถึงเกือบร้อยละ 60
ทั้งนี้ ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่จะจัดไว้เป็นชุดๆ ละประมาณ 1 – 6 ตัว ประกอบด้วย 1. ยากลุ่มแอมเฟตามีน มีฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมความอิ่ม ทำให้เบื่ออาหาร 2. ยาธัยรอยด์ฮอร์โมน มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย และมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น 3. ยาขับปัสสาวะ ทำให้สูญเสียน้ำในร่างกาย 4. ยาถ่ายหรือยาระบาย จะกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวจึงถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่
5. วิตามินให้เพื่อทดแทนการขาดวิตามินจากการกินน้อยลง และใช้ยาระบาย 6. ยากลุ่มเบต้า-บล็อคเกอร์ เพื่อลดอาการใจสั่นที่เป็นผลข้างเคียงของยากลุ่มแอมเฟตามีน และธัยรอยด์ฮอร์โมน และ 7. ยานอนหลับ เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของยากลุ่มแอมเฟตามีน ที่ทำให้นอนไม่หลับ ดังนั้น คนที่กินยาเหล่านี้เข้าไป จึงมีความเสี่ยงอันตรายสูงมาก
นางนิตยา กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่วัยรุ่นจำเป็นต้องตระหนักก็คือ การใช้ยาลดความอ้วนเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะยาลดความอ้วนไม่สามารถทำให้ผอมได้ตลอดไป เมื่อหยุดกินยาน้ำหนักก็จะกลับขึ้นมาได้อีก และยาลดความอ้วนก็ไม่สามารถกินต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน หนทางที่จะทำให้มีรูปร่างดีอย่างถาวร คือ ต้องปรับพฤติกรรมการกิน โดยลดอาหารมัน แป้ง และน้ำตาล ลง เพิ่มประเภทผัก และผลไม้ให้มากขึ้น
ที่สำคัญต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้รูปร่างดี สุขภาพกายแข็งแรงแล้ว สุขภาพจิตก็จะดีตามมาด้วย ทำให้อารมณ์แจ่มใส มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน และยังทำให้แก่ช้าลงอีกด้วย
นางนิตยา กล่าวด้วยว่า วันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงานคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง ที่สวนลุมพินี โดยมีกิจกรรมออกกำลังกาย สาระความรู้ด้านการดูแลสุขภาพแต่ละวัย อาหารปลอดภัย ตลอดจนบริการตรวจสุขภาพฟรี อาทิ ตรวจสภาพผิวหน้า ตรวจวัดสายตา ตรวจกระดูกพรุนในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นต้น
จึงขอเชิญผู้ที่สนใจโดยเฉพาะสาวไทยที่คิดจะสวย มีสุขภาพดี ไปร่วมงานได้ หรือสมัครเป็นสมาชิกชมรมสร้างสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง ซึ่งนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างสุขภาพ
นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีวัยรุ่นรายหนึ่งอยากผอมเพรียวตามสมัยนิยม และกินยาลดความอ้วนเป็นเวลานานจนสติเลอะเลือนถึงขั้นจำอะไรไม่ได้กว่า 2 ปี และมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปเหมือนคนเป็นโรคจิต มีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง พูดเพ้อคนเดียว อยากฆ่าตัวตาย จนพ่อแม่ต้องพาเข้ารักษาตัว
หลังจากรักษาจนอาการดีขึ้นต้องตั้งต้นหัดเขียน ก.ไก่ เหมือนเด็กอนุบาลว่า กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดี เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับวัยรุ่นไทยที่มีค่านิยมยิ่งผอมยิ่งสวย ชอบอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบตะวันตกที่ทำให้อ้วนง่าย อยากผอม แต่ขี้เกียจออกกำลังกาย เลยหวังสวยทางลัด ด้วยการใช้ยาลดความอ้วน และยอมเสี่ยงอันตรายกับภัยของยาลดความอ้วนที่มีผลข้างเคียงมาก ได้แก่ นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้
นางนิตยา กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่มีใช้ในประเทศไทย จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 อย. จะเป็นผู้ควบคุมสั่งผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเพียงผู้เดียว และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาสั่งจ่ายให้กับผู้ป่วย แต่จากการสำรวจของกองควบคุมวัตถุเสพติด อย. พบว่า สถานพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการจ่ายยาลดความอ้วนให้ประชาชนโดยไม่ได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ถึงเกือบร้อยละ 60
ทั้งนี้ ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่จะจัดไว้เป็นชุดๆ ละประมาณ 1 – 6 ตัว ประกอบด้วย 1. ยากลุ่มแอมเฟตามีน มีฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมความอิ่ม ทำให้เบื่ออาหาร 2. ยาธัยรอยด์ฮอร์โมน มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย และมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น 3. ยาขับปัสสาวะ ทำให้สูญเสียน้ำในร่างกาย 4. ยาถ่ายหรือยาระบาย จะกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวจึงถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่
5. วิตามินให้เพื่อทดแทนการขาดวิตามินจากการกินน้อยลง และใช้ยาระบาย 6. ยากลุ่มเบต้า-บล็อคเกอร์ เพื่อลดอาการใจสั่นที่เป็นผลข้างเคียงของยากลุ่มแอมเฟตามีน และธัยรอยด์ฮอร์โมน และ 7. ยานอนหลับ เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของยากลุ่มแอมเฟตามีน ที่ทำให้นอนไม่หลับ ดังนั้น คนที่กินยาเหล่านี้เข้าไป จึงมีความเสี่ยงอันตรายสูงมาก
นางนิตยา กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่วัยรุ่นจำเป็นต้องตระหนักก็คือ การใช้ยาลดความอ้วนเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะยาลดความอ้วนไม่สามารถทำให้ผอมได้ตลอดไป เมื่อหยุดกินยาน้ำหนักก็จะกลับขึ้นมาได้อีก และยาลดความอ้วนก็ไม่สามารถกินต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน หนทางที่จะทำให้มีรูปร่างดีอย่างถาวร คือ ต้องปรับพฤติกรรมการกิน โดยลดอาหารมัน แป้ง และน้ำตาล ลง เพิ่มประเภทผัก และผลไม้ให้มากขึ้น
ที่สำคัญต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้รูปร่างดี สุขภาพกายแข็งแรงแล้ว สุขภาพจิตก็จะดีตามมาด้วย ทำให้อารมณ์แจ่มใส มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน และยังทำให้แก่ช้าลงอีกด้วย
นางนิตยา กล่าวด้วยว่า วันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานเปิดงานคนไทยแข็งแรง เมืองไทยแข็งแรง ที่สวนลุมพินี โดยมีกิจกรรมออกกำลังกาย สาระความรู้ด้านการดูแลสุขภาพแต่ละวัย อาหารปลอดภัย ตลอดจนบริการตรวจสุขภาพฟรี อาทิ ตรวจสภาพผิวหน้า ตรวจวัดสายตา ตรวจกระดูกพรุนในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นต้น
จึงขอเชิญผู้ที่สนใจโดยเฉพาะสาวไทยที่คิดจะสวย มีสุขภาพดี ไปร่วมงานได้ หรือสมัครเป็นสมาชิกชมรมสร้างสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง ซึ่งนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างสุขภาพ