สมัยก่อนการบริโภคของสังคมไทยเป็นเพียงเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตให้รอดเท่านั้น ไม่ใส่ใจในเรื่องความหลากหลาย แต่จากการที่สังคมมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นจึงทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นการสนองตอบต่อความต้องการของแต่ละบุคคลมากขึ้น โดยไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นพื้นฐานอย่างแท้จริง และผลกระทบหลังจากที่ได้บริโภคสิ่งเหล่านั้นแล้วว่า จะก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม
จนท้ายที่สุดก็ส่งผลกลับมาที่สุขภาพของตนเองและอย่างยิ่งกับเด็กเล็กที่ปกติโดยวุฒิภาวะก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องของการบริโภค
น.พ.สุริยเดว ทรีปาตี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ ให้ข้อมูลถึงพฤติกรรมของเด็กเกี่ยวกับการบริโภคในปัจจุบันนี้ว่า วิถีการบริโภคในยุคนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ซึ่งความสุขที่เกิดจากการบริโภคนั้นแบ่งได้เป็นสองปัจจัยคือข้อแรก ความพึงพอใจในอาหาร คือแค่เด็กเห็นก็รู้สึกอยากจะกิน นั่นเป็นเพราะหน้าตาและสีสันของอาหารยั่วยวนซึ่งก็ได้แก่ พวกขนมหวานทั้งหลาย ความรู้สึกต่ออาหารอีกอย่างคือแค่เห็นก็อืด อาหารประเภทนี้ก็จะเป็นพวกผักผลไม้ที่เด็กไม่นิยมรับประทานแค่เห็นก็อยากจะเมินหน้าหนี
ขณะเดียวกันการดูทีวีมากๆ ก็ส่งผลให้เด็กรับประทานขนมหวานเพิ่มขึ้นและออกกำลังกายน้อยลง เนื่องจากอิทธิพลของการโฆษณา ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปีถึงร้อยละ 96.7 ชอบดูทีวี และจะดูวันละ 1.9 ชม.เด็กที่อยู่ในเขตกรุงเทพดูวันละ 2.1 ชม. แต่ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้เด็กรับประทานขนมหวานเพราะจะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้และโรคที่กำลังพบมากในเด็กตอนนี้คือ โรคเบาหวานและโรคอ้วน ที่ตามมาติดๆคือโรคฟันผุ เด็กที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่จะมีอาการฟันผุมากกว่า 4 ซี่ต่อคน กว่า 70 %
“ผู้ปกครองยังมีทัศนคติที่ผิดๆ อยู่ว่าเด็กกับขนมหวานเป็นของคู่กัน ฉะนั้น การที่เด็กจะรับประทานขนมจุบจิบบ่อยๆ จึงไม่มีผลเสียต่อการเกิดโรคฟันผุ วิธีการแก้ปัญหานี้คือต้องเริ่มที่พ่อแม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกในเรื่องของการบริโภคอาหาร หากเป็นเด็กเล็กที่ยังต้องดื่มนมให้หันมาดื่มนมแม่แทนนมกระป๋องเพราะไม่มีนมยี่ห้อไหนที่จะวิเศษไปกว่านมแม่ แต่ถ้าจำเป็นต้องให้นมกระป๋องจริงๆ ก็เลือกนมที่มีรสจืดเพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือสารที่มีส่วนให้เด็กเกิดโรคตามที่กล่าวมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นการฝึกให้เด็กไม่ติดรสหวานมีวินัยในการบริโภคเมื่อโตขึ้น”
“ทารกควรกินนมแม่อย่างน้อย 4-6 เดือนและควรให้เด็กเลิกนมขวดให้ได้ภายในอายุ 1 ปีครึ่ง และไม่ควรให้ดูดนมจนหลับคาขวดหรือหลับคาหัวนมแม่เพราะจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีได้ และควรมีการจัดระเบียบการกินอยู่ให้เด็กตั้งแต่ยังเล็กๆจะเป็นการง่ายกว่าคือปลูกฝังให้ลูกรู้ว่าสิ่งไหนดีก็ให้เขาทำซ้ำๆ พ่อแม่ต้องเป็นแรงเสริมบวกหมายถึงเวลาที่ลูกทำในสิ่งที่ถูกก็ต้องมีการชม ไม่ใช่เอาแต่จ้องจับผิด”
ด้านสารี อ๋องสมหวัง มองว่า กระแสบริโภคนิยมในวัยเด็กกำลังมีความรุนแรงมาก พบว่าสิ่งสำคัญมาจากอิทธิพลของโฆษณาจากสื่อต่างๆโดยเฉพาะสื่อทางโทรทัศน์ จากการวิจัยเมื่อปี 2535-2536 ในรายการโทรทัศน์แต่ละรายการมีโฆษณาประมาณ 16-19 ครั้ง ซึ่งคาดว่าในปัจจุบันคงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“การค้าแบบเสรีทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่าสินค้าที่วางขายตามท้องตลาดหรือที่เราจะบริโภคเหล่านั้น มีแหล่งผลิตมาจากไหน นั่นก็หมายความว่าเราก็ไม่สามารถทราบได้เลยว่าจะมีอันตรายแฝงอยู่มากน้อยแค่ไหนเช่นกัน ฉะนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ผู้บริโภคแล้วว่าจะเลือกบริโภคแบบไหนจึงจะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัว”
สารี ยังได้เสนอแนวคิดในการบริโภคว่าขั้นแรกต้องดูชื่อของสินค้าหรือบริการก่อนว่าจะคุ้มค่า และปลอดภัยหรือไม่ ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานและเป็นการต่อสู้กับภาวะการบริโภคนิยมด้วย ต่อมาคือต้องคิดว่าเงินของเรามีคุณค่าโดยรวมหมายถึงให้คำนึงว่าที่เราจะซื้อหรือใช้บริการแต่ละอย่างส่งผลต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง สุดท้ายคือให้เลือกบริโภคให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่ยั่งยืน
ขณะที่มัทนา ถนอมพันธ์ เลขาธิการสมาคมสร้างสรรค์ไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีขยะเพิ่มขึ้นถึงวันละ 9,500 ตันต่อวัน ซึ่งมีต้นตอมาจากการบริโภคทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเด็กอนุบาลจะไม่มีการระมัดระวังในการเลือกบริโภค จะไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรไม่ควร
ฉะนั้น ตาวิเศษจึงได้หันมาให้ความสำคัญกับเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษ โดยจะกระตุ้นให้โรงเรียน ครอบครัว รวมถึงชุมชนออกมาดูแลนักเรียนและบุตรหลานของตนบนภาวะบริโภคนิยมเช่นนี้ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการยังมีการจัดสัมมนาแก่ทางโรงเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็กในเขตกรุงเทพฯที่เป็นพื้นที่นำร่อง ก่อนจะขยายไปยังต่างจังหวัดต่อไป
พร้อมกันนั้น จะมีการจัดละครเวทีที่แสดงโดยเด็กๆ ให้เป็นสื่อสาธารณะที่มอบสาระความบันเทิงและส่งผลต่อการพัฒนาการให้เด็ก ในด้านการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ จินตนาการความคิด ซึ่งเด็กจะได้รับการซึมซับให้มีความตระหนักในวิถีการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เลือกกินเลือกใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ประหยัด เห็นคุณค่าในสิ่งแวดล้อมสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยจะเปิดการแสดงในวันที่ 22-28 พ.ย.ที่ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย