กรมทรัพยากรทางทะเลเตือนชาวบ้านนำเนื้อโลมาที่ตายแล้ว หรือล่าโลมามาชำแหละขายผิดกฎหมาย จำคุก 4 ปี ปรับ 40,000 บาท
ดร.ไมตรี ดวงสวัสดิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากกรณีที่ชาวบ้านตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำซากโลมาหัวบาตรมาชำแหละเนื้อขายในตลาดนั้น ขณะนี้ ทช.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว พร้อมทั้งยังได้เก็บตัวอย่างแกงเนื้อปลาโลมาที่วางจำหน่ายส่งไปตรวจสอบว่าใช่เนื้อโลมาหรือไม่ แต่เบื้องต้นคิดว่าเนื้อปลาที่ต้มสุกแล้วอาจจะพิสูจน์อะไรไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีจะมีโลมา รวมทั้งวาฬ เกยตื้นและติดอวนประมงตายไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากรโลมาทุกชนิดที่มีอยู่ในน่านน้ำไทยทั้งบริเวณอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก อีกทั้งเป็นห่วงว่าอาจจะมีการออกล่าโลมา ซึ่งมักชอบเข้ามาใกล้ชายฝั่งชำแหละเนื้อมาขายมากขึ้นด้วย
อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า การที่ชาวบ้านนำโลมาที่ตายเพราะติดอวนหรือเกยตื้นมาชำแหละขาย โดยอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ถือว่าผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า 2535 ในมาตรา 19 ที่ระบุชัดเจนว่าห้ามมิให้ครอบครองสัตว์สงวนไม่ว่าจะเป็นสัตว์เป็นหรือซากสัตว์ โดยจะมีโทษสูงสุดจำคุก 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้น จึงขอเตือนทั้งผู้ขายและผู้ซื้อว่าการบริโภคเนื้อโลมาและวาฬผิดกฎหมายอย่างแน่นอน และหากพบโลมา หรือวาฬเกยตื้นหรือติดอวนขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อหาทางช่วยชีวิตสัตว์กลุ่มนี้เอาไว้
ส่วนข่าวที่ออกมาจะกระทบต่อการบรรจุโลมาอิรวดี ในบัญชีหมายเลข 1 ของอนุสัญญาไซเตสที่เพิ่งประชุมแล้วเสร็จไปเมื่อเดือนตุลาคมนี้ที่เมืองไทยเป็นเจ้าภาพหรือไม่ ดร.ไมตรี กล่าวว่า คิดว่าไม่กระทบเพราะการขึ้นบัญชีจะคุ้มครองเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ แต่อาจจะส่งผลในแง่ของชื่อเสียง ซึ่งขณะนี้ ทช.ได้ร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อหามาตรการดูแลโลมา รวมทั้งวาฬอย่างเข้มข้นแล้ว โดยกำลังเตรียมจะติดตามข้อมูลการแพร่กระจายและการอพยพย้ายถิ่นของโลมาที่เข้ามาหากินในประเทศไทย เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการในเรื่องนี้ ทำให้ยังไม่รู้ว่าโลมาที่เข้ามาใกล้ชายฝั่งในช่วงนี้และกลับออกไปอาศัยหรือมีถิ่นที่อยู่ที่ไหน
ดร.ไมตรี ดวงสวัสดิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า จากกรณีที่ชาวบ้านตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำซากโลมาหัวบาตรมาชำแหละเนื้อขายในตลาดนั้น ขณะนี้ ทช.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่แล้ว พร้อมทั้งยังได้เก็บตัวอย่างแกงเนื้อปลาโลมาที่วางจำหน่ายส่งไปตรวจสอบว่าใช่เนื้อโลมาหรือไม่ แต่เบื้องต้นคิดว่าเนื้อปลาที่ต้มสุกแล้วอาจจะพิสูจน์อะไรไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีจะมีโลมา รวมทั้งวาฬ เกยตื้นและติดอวนประมงตายไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากรโลมาทุกชนิดที่มีอยู่ในน่านน้ำไทยทั้งบริเวณอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงต่อการสูญพันธุ์อย่างมาก อีกทั้งเป็นห่วงว่าอาจจะมีการออกล่าโลมา ซึ่งมักชอบเข้ามาใกล้ชายฝั่งชำแหละเนื้อมาขายมากขึ้นด้วย
อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า การที่ชาวบ้านนำโลมาที่ตายเพราะติดอวนหรือเกยตื้นมาชำแหละขาย โดยอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ถือว่าผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ป่า 2535 ในมาตรา 19 ที่ระบุชัดเจนว่าห้ามมิให้ครอบครองสัตว์สงวนไม่ว่าจะเป็นสัตว์เป็นหรือซากสัตว์ โดยจะมีโทษสูงสุดจำคุก 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้น จึงขอเตือนทั้งผู้ขายและผู้ซื้อว่าการบริโภคเนื้อโลมาและวาฬผิดกฎหมายอย่างแน่นอน และหากพบโลมา หรือวาฬเกยตื้นหรือติดอวนขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อหาทางช่วยชีวิตสัตว์กลุ่มนี้เอาไว้
ส่วนข่าวที่ออกมาจะกระทบต่อการบรรจุโลมาอิรวดี ในบัญชีหมายเลข 1 ของอนุสัญญาไซเตสที่เพิ่งประชุมแล้วเสร็จไปเมื่อเดือนตุลาคมนี้ที่เมืองไทยเป็นเจ้าภาพหรือไม่ ดร.ไมตรี กล่าวว่า คิดว่าไม่กระทบเพราะการขึ้นบัญชีจะคุ้มครองเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ แต่อาจจะส่งผลในแง่ของชื่อเสียง ซึ่งขณะนี้ ทช.ได้ร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อหามาตรการดูแลโลมา รวมทั้งวาฬอย่างเข้มข้นแล้ว โดยกำลังเตรียมจะติดตามข้อมูลการแพร่กระจายและการอพยพย้ายถิ่นของโลมาที่เข้ามาหากินในประเทศไทย เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการในเรื่องนี้ ทำให้ยังไม่รู้ว่าโลมาที่เข้ามาใกล้ชายฝั่งในช่วงนี้และกลับออกไปอาศัยหรือมีถิ่นที่อยู่ที่ไหน