xs
xsm
sm
md
lg

ตามล่าเอกสารเก่า-ใบลาน-ผ้า บันทึกชาติไทยที่ใกล้สูญพันธุ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บ่อยครั้งที่คนไทยเดินทางไปต่างประเทศแล้วเจอหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญๆ หลายชิ้นอยู่ในมือชาวต่างชาติ อย่างตำรายา แผนที่ ผ้า บันทึกส่วนตัว ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นมรดกแห่งภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสมเอาไว้ และบางชิ้น บางตำราก็มีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไปของประเทศในบางช่วงบางตอน

ทั้งนี้ กรรมวิธีที่ชาวต่างชาติมักจะได้เอกสารส่วนมากมักมาจากร้านขายของเก่า หรือไม่ก็ซื้อจากผู้สืบเชื้อสายรุ่นลูกรุ่นหลานที่ไม่ใคร่ได้เล็งเห็นความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือและบันทึกส่วนตัวที่พบว่า มีการนำมาชั่งกิโลขายเลหลังราคาถูกเหมือนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ไร้คุณค่า ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมีคุณค่ามากมายมหาศาล

กระทั่งมีหลายชิ้น หลายเอกสารถูกนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ยากลับมาขายคนไทย หรือไม่เมื่อคนไทยรู้ถึงคุณค่าในภายหลังก็ต้องหอบเงินก้อนโตไปซื้อกลับมาจากฝรั่งทั้งๆ ที่ความจริงไม่ควรเป็นเช่นนั้น

จากจุดนี้นี่เองทำให้กลุ่มคนรักวัฒนธรรมเริ่มรวมตัวกันเคลื่อนไหว เพื่อปลุกกระแสภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญจัดเก็บเอกสารข้อมูลจดหมายเหตุของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นคลังความรู้ให้คนทั่วไปมาศึกษา ค้นคว้า หรือนำมาใช้อ้างอิงในงานวิจัยต่าง ๆ ได้ จนในที่สุดมีการจัดตั้งหอจดหมายเหตุประจำหน่วยงาน หรือสถาบันของตนเองขึ้นมามากมายหลายแห่งจนนับไม่ถ้วน

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นายกสมาคมจดหมายเหตุไทย ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ข้อความเพียง 2-3 บรรทัดบางครั้งก็มีความหมายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเขียนเขียนถึงใคร และตลอดระยะเวลา 10 ปีที่มีการตื่นตัวเรื่องการจัดเก็บเอกสารและสิ่งของสำคัญๆ ในทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทว่า ผู้ที่ทำงานต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรค คือ มีเอกสารกองอยู่จำนวนมาก เพื่อรอการแยกให้เข้าหมวด หมู่

สาเหตุที่เอกสารต่างๆ ถูกกองสุมอยู่เหมือนของไร้ค่า ก็เพราะว่ามีบุคลากรน้อย ยกตัวอย่างเช่นหอจดหมายเหตุเชียงใหม่ที่มีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คนแล้วในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาชมจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอยู่น้อยต้องผลัดเปลี่ยนกันบรรยายให้ความรู้แก่ผู้มาเข้าชม จนบางวันไม่มีเวลาทำอย่างอื่น เช่น แยกเอกสารสำคัญๆ เพื่อให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน

รวมกระทั่งถึงไม่มีเวลามานั่งซ่อมแซมเอกสารเก่าที่นับวันจะเหลืองผุกร่อนไปตามกาลเวลา แล้วการซ่อมแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานเพราะเป็นงานละเอียดอ่อนมีขั้นตอนซับซ้อน

“หอจดหมายเหตุทั่วประเทศมักจะมีปัญหาคล้ายคลึงกันเอกสารเยอะ บุคลากรน้อย ดังนั้น หากรัฐบาลให้ความสำคัญจริงควรเพิ่มบุคลากร หรือจ้างลูกจ้างชั่วคราว ขณะเดียวกันควรมีหน่วยซ่อมเอกสารด้วย” ชาญวิทย์ กล่าวพร้อมกับแสดงความคิดเห็นว่า เพื่อลดปัญหาการซ่อมหนังสือบ่อยๆ เราควรนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยรวบรวมเอกสาร ข้อมูลต่างๆ โดยสแกนเอกสาร ภาพ ฯลฯ แล้วใส่เป็นฐานข้อมูลโดยแยกหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน เพื่อสะดวกต่อการสืบค้นและนำมาใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิง อย่างไรก็ดี ตรงนี้หน่วยงานต้นสังกัดต้องยอมลงทุนก้อนโต

ฟื้นฟูคัมภีร์ใบลาน

นอกเหนือจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ตกหล่นไปในบริบทของการเก็บรักษาที่ยังเป็นไปด้วยช่องโหว่มากมายแล้ว ปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งก็น่าจะเป็นการสืบทอดองค์ความรู้ที่บันทึกเอาไว้ในตำราเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์ใบลาน ที่นับวันจะหาคนอ่านและสืบค้นหาความหมายได้ยาก กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า อยู่ในขั้นที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

สนั่น ธรรมธิ กล่าวในฐานะนักอนุรักษ์ใบลานว่า ใครที่มีความรู้ด้านภาษาล้านนา บาลี สันสฤต หรือภาษาท้องถิ่น แล้วมีความสามารถอ่านใบลานซึ่งคนรุ่นปู่ย่าตายายของเราบันทึกเรื่องราวต่างๆ เอาไว้มากมาย จะทราบว่า ได้มีการบันทึกวิธีทำนายโหราศาสตร์ ตำรายา ไสยศาสตร์ นิทานพื้นบ้าน พิธีกรรมท้องถิ่น คำสอนในพระพุทธศาสนา พิธีกรรมสงฆ์ ฯลฯ

ทั้งนี้ หากมีผู้รู้และสามารถอ่านความหมายในคัมภีร์ใบลานออก ก็จะทำให้เข้าใจและสามารถจินตนาการได้ว่าคนรุ่นนั้น มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง

“ระหว่างที่ทำการวิจัยและสำรวจใบลานตามวัดต่างๆ สิ่งที่เจอก็คือทางวัดไม่ให้ความสนใจใบลานมากนัก โดยเฉพาะช่วงรอยต่อผลัดเปลี่ยนเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสรุ่นใหม่ไม่ค่อยเก็บรักษาใบลาน บางวัดวางทิ้งขวางโดยไม่มีแม้แต่ผ้ามาห่อหุ้ม ปล่อยให้ปลวกกินไปบ้าง บางวัดหลังคารั่วบริเวณที่เก็บใบลานทำให้เปียก มีราขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ใบลาน”

สนั่น กล่าวต่อว่า พระสงฆ์ให้ความสำคัญต่อใบลานลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากอ่านภาษาล้านนา หรือบาลี สันสฤต ไม่ได้ เนื่องเพราะไม่ได้เรียน ด้วยเหตุนี้ทางภาคเหนือจึงได้มีการรวมกลุ่มกันฟื้นฟูขบวนการทำใบลานพร้อมกับสอนภาษาล้านนา

สนั่น บอกว่า ขณะนี้มีโรงเรียนวัดสรวงเหนือ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้เชิญผู้ที่มีความรู้มาสอนกรรมวิธีการทำใบลาน แล้วในโรงเรียนแห่งนี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้รับการสืบทอดภาษาล้านนามาจากบรรพบุรุษ ได้นำความรู้มาสอนให้ลูกศิษย์จนวันนี้เด็กกลุ่มหนึ่งสามารถอ่านเขียนภาษาล้านนาได้อย่างคล่องแคล่ว

“อาจารย์ท่านนี้มีกลยุทธ์ให้เด็กเรียนรู้ภาษาล้านนา ด้วยการให้เด็กไปอ่านจารึกบนใบลานตามวัดใกล้บ้าน แล้วให้เด็กเขียนหรือเล่าเรื่องที่ไปอ่านหน้าชั้นให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนฟังว่าไปอ่านใบลานเรื่องอะไร มีเนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง นอกจากอ่านเขียนแล้วเด็กกลุ่มนี้ยังได้เรียนรู้วิธีการทำใบลานเหมือนบรรพบุรุษของเขาด้วย”

ด้านพ่อหนานทอง นิปุณะ นักอนุรักษ์ทำใบลาน ที่ได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษไปสอนนักเรียนทำใบลาน เล่าให้ฟังว่า รู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสถ่ายทอดความรู้การทำใบลานให้เด็กๆ เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้สืบสานการทำใบลานต่อไป“สอนตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ เริ่มตั้งแต่เลือกตัดใบลานโดยเลือกใบลานที่มีอายุ 7-8 ปีขึ้นไป แล้วก็กรีดใบลานให้หลุดจากก้าน ใบลานใบหนึ่งๆ จะกรีดออกมาแล้วคัดเลือกใบลานที่มีขนาดความกว้าง 1 นิ้ว จากนั้นม้วนใบลานให้เป็นก้อนวงกลมไปเรื่อยๆ แล้วใช้ตอกมามัดใบลาน ขั้นตอนต่อมาเอาไปต้มในกระทะพร้อมกับใส่มะขาม โดยใช้ไฟอ่อนๆ ประมาณ 1 วัน มะขามสดจะช่วยให้ใบลานมีสีขาวเหลือง พอต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วจะคลี่ใบลานออกตากแดด พอแห้งสนิท จึงนำมาจาร คือตีเส้นบรรทัด จากนั้นจึงจารตัวอักษรภาษาล้านนาบนใบลาน(เหล็กแหลมเขียนเป็นตัวอักษร) พอเขียนเสร็จเรายังอ่านไม่ได้ จึงนำสำลีหรือทิชชูชุบน้ำมันงาที่ผสมผงถ่านทาลงบนลานที่จารอักษรไว้จึงจะเห็นตัวอักษร

สำหรับการสอนจารใบลานจะให้เด็กเขียนคำง่ายๆ เรื่อยไปจนถึงคำยาก แล้วค่อยผูกเป็นเรื่องราว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเขียนผิดพลาด ก่อนจาร(เขียน)จะให้เขียนใส่กระดาษก่อนแล้วค่อยจารลงบนลานอีกทีหนึ่ง ถ้าหากจารตัวอักษรผิดเพียงตัวเดียวเราจะลบแล้วเขียนทับไม่ได้ ต้องทำเครื่องหมายหรือนำสีมาป้ายทับไว้ หรือจารผิดหลายตัวจะต้องทิ้งแล้วเขียนใหม่ ดังนั้น ผู้ที่จารใบลานต้องมีสมาธิ

การทำใบลานมีหลายขั้นตอน ดังนั้นผู้ที่ทำจะต้องใช้ความอดทนและความตั้งใจสูงกว่าคัมภีร์ใบลานจะเสร็จ พ่อหนานทอง บอกว่า คนรุ่นปู่ย่าตายายมีกุศโลบายให้ลูกหลานจารใบลาน โดยบอกว่าผู้จารนอกจากจะได้บุญจากการถวายคัมภีร์ใบลานแล้ว ยังเป็นการสอนภาษาล้านนาด้วย เพราะระหว่างจารหรือคัดลอกจากต้นฉบับเดิมนั้น ผู้จารต้องอ่านข้อความจากต้นฉบับแล้วจำข้อความนั้นมาจารลงในใบลานของตน เมื่อจารเสร็จต้องอ่านตรวจดูว่าจารตกหรือผิดจากต้นฉบับหรือไม่

“รู้สึกดีใจที่มีการฟื้นฟูการจารลานขึ้นแล้วประชาชนที่มีจิตศรัทธาซื้อไปถวายวัด ทางวัดก็ใช้คัมภีร์นี้มาเทศน์ให้ชาวบ้านฟัง หากเป็นเช่นนี้คาดว่าคัมภีร์ใบลานจะคงอยู่คู่กับศาสนาต่อไป”

ผ้าบ่งบอกวัฒนธรรม

ขณะที่ ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนกุล ในฐานะนักอนุรักษ์ผ้า กล่าวว่า ผ้า เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่แล้วมีความสำคัญและสัมพันธ์กับวัฒนธรรมของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานเกี่ยวกับผ้าที่อยู่ในประเทศไทยมีไม่มากนัก เนื่องจากวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาวัฒนธรรมการทอผ้าใส่กันในภายในครัวเรือนก็เลือนหายไปด้วย

นั่นหมายความว่า ลวดลายบนผ้าแต่ละผืนซึ่งบ่งบอกวัฒนธรรมความเป็นมาของท้องถิ่น หากสังเกตดีๆ จะเห็นความแตกต่างกัน ระหว่างผ้าอีสาน ผ้าทางภาคเหนือ ภาคใต้ อย่างผ้าซิ่นตีนจก ผ้าลายน้ำไหล ของภาคเหนือ ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษเวลาที่มีงานบุญหรือเวลาไปวัด หรือเวลาที่หญิงสาวออกเรือน จะต้องตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับใช้ในครัวเรือนใหม่ โดยนำผ้าทดมาตัดเย็บเป็นผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้ง เป็นต้น

น่าเสียดายคนรุ่นใหม่หันมาใช้ผ้าทอจากโรงงาน แล้วไม่ให้ความสำคัญผ้าทอท้องถิ่น ไม่เก็บรักษาให้ดี ปล่อยให้เปื่อย หรือไม่ก็ขายในราคาถูกๆ ที่สำคัญไม่ทอผ้าจากคนรุ่นพ่อแม่ จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านทรงฟื้นฟูการทอผ้าพื้นเมือง ทำให้ประชาชนเริ่มตื่นตัวแล้วหันกลับมาทอผ้ากันเพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้นำผ้ามาประดิษฐ์เป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเช่น กระเป๋า ผ้าคลุมเตียง ผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ

“การนำผ้ามาดัดแปลงให้เป็นเครื่องใช้ เครื่องเรือน ต่างๆ นั้น ควรมีการเขียนบันทึกไว้ เพราะอีก 10 ปี 20 ปี ข้างหน้า ผ้าทอของไทยอาจมีพัฒนาการหรือมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น การบันทึกไว้จะทำให้คนรุ่นหลังได้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของผ้าไทย ว่าเรามีวัฒนธรรมมายาวนาน”

...เอกสาร ใบลาน ผ้า และอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาไทย เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา แล้วเล่าขานให้คนรุ่นหลังฟัง เพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจว่าพวกเขามีรากเหง้า
กำลังโหลดความคิดเห็น