“ยืนยง” แถลงโต้ “เทพนม” ไม่เคยโกงเงินองค์การค้าฯ แม้แต่สตางค์เดียว ท้าให้ไปสาบานต่อพระแก้วมรกต ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท โดยจะเดินสายแจ้งความทั่วประเทศ ระบุการกล่าวหาเป็นเรื่องของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ เผยหลังเข้ารับตำแหน่งเดินหน้าปราบคอรัปชั่น ปัจจุบันตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องทุจริตกว่า 10 คณะ ด้านเทพนมส่งเรื่องให้ ปปง.ยันไม่กลัวถูกฟ้อง
จากกรณีนายเทพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานสมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนและเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นได้ยื่นหนังสือถึง นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ กล่าวหา นายยืนยง จิรัฎฐิติกาล รักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าของคุรุสภา(อค.) มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต โดยซอยการจัดซื้อกระดาษเป็น 11 ครั้ง เพื่อพิมพ์หนังสือเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ในวงเงินประมาณ 105 ล้านบาทนั้น นายยืนยง กล่าวว่า การกล่าวหาว่าตนทุจริตในการซอยซื้อกระดาษนั้น ขอย้ำว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำไปตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างตามปกติของ อค. ที่เคยปฏิบัติกันมา โดยตนไม่เคยสั่งให้ซื้อกระดาษจากบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเด็ดขาด
สำหรับขั้นตอนการจัดซื้อกระดาษนั้น เริ่มตั้งแต่ภาคการพิมพ์เป็นผู้รับงานจ้างพิมพ์ และผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้กำหนดสเป็คกระดาษ จากนั้นส่วนพัสดุ ฝ่ายโรงพิมพ์จะเสนอขออนุมัติซื้อกระดาษ ซึ่งต้องผ่านผู้บังคับบัญชาพิจารณากลั่นกรองตามลำดับชั้น ตั้งแต่หัวหน้าหมวด หัวหน้าแผนก หัวหน้าส่วน หัวหน้าฝ่าย ผู้ช่วยภาคการพิมพ์ และรองผู้อำนวยการ แล้วจึงเสนอ ผอค.อนุมัติขอซื้อตามที่เสนอมา โดยมีคณะกรรมการที่ภาคการเงินและบัญชีเสนอรายชื่อบุคคล ให้ ผู้อำนวยการองค์การค้า เป็นผู้อนุมัติแต่งตั้งไว้แล้ว ทำหน้าที่เปิดซองและต่อรองราคา พร้อมทดสอบคุณภาพกระดาษ เพื่อคัดเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติถูกต้อง โดยเรียงลำดับคุณสมบัติของบริษัททั้งหมด พร้อมผลการต่อรองราคา
จากนั้นจะนำเสนอให้ผู้อำนวยการองค์การค้าลงนามอนุมัติใบสั่งซื้อ จากนั้นมีแผนกประกันคุณภาพ ภาคการพิมพ์ตรวจสอบคุณภาพกระดาษว่ามีปัญหาหรือไม่ โดยมีคณะกรรมการตรวจรับคอยตรวจสอบระยะเวลาการส่งของและการชำระเงินให้ตรงตามเงื่อนไขการชำระเงิน ส่วนข้อกล่าวหาว่าซื้อกระดาษราคาแพงกว่าท้องตลาดนั้น อค.ได้ซื้อกระดาษจากแหล่งผู้ผลิตโดยตรง ประกอบด้วยบริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษไทย และบริษัทแอ็ดวานต์อะโกร (บริษัท 99 กรุ๊ปเทรดดิ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด) และการจัดซื้อต้องมีคณะกรรมการสอบราคาและต่อรองราคาทุกครั้ง โดยซื้อจากผู้เสนอราคาต่ำสุด เพื่อประโยชน์ของอค.เป็นที่ตั้ง
“เรื่องนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ใน อค. เนื่องจากที่ผ่านมาตนมีนโยบายปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นในองค์กร เช่น การเสนอซ่อมเครื่องจักรทางการพิมพ์ จำนวน 28 เครื่อง เมื่อเดือน เม.ย.47 เป็นเงินที่สูงถึง 33,424,617 บาท แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่า มูลค่าในการซ่อมแซมใช้เงินรวมแล้ว ไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกรณีการนำงานไปจ้างพิมพ์ภายนอก โดยไม่มีสัญญาจ้าง เป็นการกระทำโดยพลการ จำนวน 28 รายการ ซึ่งหนังสือเหล่านี้ ค้าง สต๊อกอยู่ในโกดัง ไม่สามารถนำมาขายได้ ทำให้ อค.เกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันยังมีการอนุมัติให้ทำงานล่วงเวลารายชิ้น โดยไม่มีระเบียบ อค.รองรับ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่าบุคคลใดมีความบกพร่อง ทำให้ อค.เสียหาย จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับ อค. และต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย โดยขณะนี้ภายใน อค.มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตมากกว่า 10 ชุด” รักษาการณ์ ผอ.องค์การค้าฯ กล่าว
รักษาการณ์องค์การค้าฯ กล่าวอีกว่า ตนได้รับมอบอำนาจ โดยมีหนังสือมอบอำนาจอย่างชัดเจนจากเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สก สค.) ให้สามารถดำเนินการอันเป็นปกติธุระขององค์การค้าฯ และมีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท และขอย้ำว่าเรื่องดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขา สก สค. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการดำเนินการตามระเบียบของ อค.ที่ปฏิบัติกันมา
นายยืนยง กล่าวต่อไปว่า ขอให้สำนักงานตำรวจสันติบาลตรวจสอบสมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนและเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นด้วยว่าก่อตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่าสมาพันธ์ฯ ดังกล่าวไม่มีสถานที่ก่อตั้งแน่นอน จึงคาดว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง รวมถึงการตรวจสอบประวัตินายเทพนม ศิริวิทยารักษ์ ด้วย
“หากสมาพันธ์ฯ เป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องทุจริต คอรัปชั่นจริง ขอให้มาเอาข้อมูลเรื่องการทุจริตขององค์การค้ากับผมได้เลย พร้อมจะตรวจสอบหรือไม่ และตั้งแต่รับตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าฯ มา 4 เดือน ผมมีแต่จะช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาท เพราะรู้ว่าองค์การค้าฯ อยู่ในขั้นวิกฤติทางการเงิน และเรื่องการจัดซื้อกระดาษที่ว่านี้ ผมเพิ่งสั่งจ่ายทั้งหมดไปเพียง 5 ล้านบาทเศษ จากจำนวน 91 ล้านบาท ไม่ใช่ 105 ล้านบาทตามที่โดนกล่าวหา อย่างไรก็ตามทางฝ่ายบัญชีเสนอขออนุมัติจ่ายเงิน ตามกำหนดการจ่ายเงิน แต่ผมสั่งให้ชะลอหรือทยอยจ่าย เพื่อนำเงินมาบริหารงานและจ่ายเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่ก่อน และผมกล้ายืนยันว่าผมไม่เคยทุจริตหรือฉ้อโกงเงินขององค์การค้าฯ แม้แต่สตางค์แดงเดียว หากพบว่าผมฉ้อโกงขอให้ผมฉิบหาย ตายโหง ผมกล้าพูดต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพร้อมจะไปสาบานต่อหน้าพระแก้วมรกต นายเทพนมจะกล้าไปกับผมหรือเปล่า” นายยืนยงกล่าว พร้อมกับยกมือไหว้พระพุทธรูปภายในห้อง
ส่วนกรณีที่นายเทพนมร้องขอให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของตนนั้น นายยืนยง กล่าวว่า พร้อมและยินดีให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบทุกเวลา และถ้าผลการตรวจสอบไม่มีมูล ดังที่นายเทพนมกล่าวหา ก็จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ให้ทนายความแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย จำนวน 500 ล้านบาทกับนายเทพนมแล้ว โดยจะดำเนินการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 75 จังหวัดทั่วประเทศ
พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีหนังสือพิมพ์บางฉบับ ส่วนบุคคลที่จะรวมตัวออกไปเคลื่อนไหว ขอให้ทำตามระเบียบ อค. หากไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกดำเนินการตามระเบียบวินัยของ อค. และกฎหมายอย่างเฉียบขาดและตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ตนไม่เคยปลดเจ้าหน้าที่ออก 300 คนตามที่นายเทพนมกล่าวอ้าง นั่นเป็นเพียงพนักงานรับจ้างที่หมดสัญญาจ้าง ถ้าเกิดการเคลื่อนไหว ขอให้สันติบาลตรวจบัตรประจำตัวว่าใช่เจ้าหน้าที่ อค.หรือไม่ เพราะคน อค.ส่วนใหญ่มีระเบียบวินัยของตนเอง
ด้านนายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น เปิดในวันเดียวกันว่า วันนี้สมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนฯ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายพีรพันธุ์ เปรมภูติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยมี พล.ต.ต.ยุทธบูลย์ ดิษมาน รองเลขาธิการ ปปง.เป็นผู้รับเรื่องแทน ทั้งนี้ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษนายยืนยง จิรัฏติกาล รักษาการผอ.องค์การค้าของคุรุสภา คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนายเกษม กลั่นยิ่ง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สก สค.) เพราะมีพฤติกรรมและเจตนากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (5)
คือ ผิดต่อหน้าที่ราชการ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น และขอให้ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 3 รวมถึงบริษัทเอกชนอีก 2 แห่ง ที่เกี่ยวพันกับการจัดซื้อจัดจ้างกระดาษขององค์การค้าฯ และจะไปยื่นหนังสือต่อนายวิจิตร ศรีสอ้าน ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร และพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสืบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
" ในสัปดาห์หน้า ผมจะนำข้อมูลหลักฐานไปให้ ปปง. พิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะมีสลิปบัญชีการจ่ายเงินที่นายยืนยงได้จ่ายให้กับนักการเมืองใน 3 จังหวัด ส่วนที่นายยืนยงจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผมนั้น ผมก็ยินดี เพื่อที่ศาลจะได้นำหลักฐานในลิ้นชักทั้งหมดของนายยืนยงออกมาเปิดเผยว่าได้จ่ายให้กับใครบ้าง" นายเทพพนม กล่าว
จากกรณีนายเทพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานสมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนและเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นได้ยื่นหนังสือถึง นายอดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ กล่าวหา นายยืนยง จิรัฎฐิติกาล รักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าของคุรุสภา(อค.) มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต โดยซอยการจัดซื้อกระดาษเป็น 11 ครั้ง เพื่อพิมพ์หนังสือเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ในวงเงินประมาณ 105 ล้านบาทนั้น นายยืนยง กล่าวว่า การกล่าวหาว่าตนทุจริตในการซอยซื้อกระดาษนั้น ขอย้ำว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำไปตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างตามปกติของ อค. ที่เคยปฏิบัติกันมา โดยตนไม่เคยสั่งให้ซื้อกระดาษจากบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเด็ดขาด
สำหรับขั้นตอนการจัดซื้อกระดาษนั้น เริ่มตั้งแต่ภาคการพิมพ์เป็นผู้รับงานจ้างพิมพ์ และผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้กำหนดสเป็คกระดาษ จากนั้นส่วนพัสดุ ฝ่ายโรงพิมพ์จะเสนอขออนุมัติซื้อกระดาษ ซึ่งต้องผ่านผู้บังคับบัญชาพิจารณากลั่นกรองตามลำดับชั้น ตั้งแต่หัวหน้าหมวด หัวหน้าแผนก หัวหน้าส่วน หัวหน้าฝ่าย ผู้ช่วยภาคการพิมพ์ และรองผู้อำนวยการ แล้วจึงเสนอ ผอค.อนุมัติขอซื้อตามที่เสนอมา โดยมีคณะกรรมการที่ภาคการเงินและบัญชีเสนอรายชื่อบุคคล ให้ ผู้อำนวยการองค์การค้า เป็นผู้อนุมัติแต่งตั้งไว้แล้ว ทำหน้าที่เปิดซองและต่อรองราคา พร้อมทดสอบคุณภาพกระดาษ เพื่อคัดเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติถูกต้อง โดยเรียงลำดับคุณสมบัติของบริษัททั้งหมด พร้อมผลการต่อรองราคา
จากนั้นจะนำเสนอให้ผู้อำนวยการองค์การค้าลงนามอนุมัติใบสั่งซื้อ จากนั้นมีแผนกประกันคุณภาพ ภาคการพิมพ์ตรวจสอบคุณภาพกระดาษว่ามีปัญหาหรือไม่ โดยมีคณะกรรมการตรวจรับคอยตรวจสอบระยะเวลาการส่งของและการชำระเงินให้ตรงตามเงื่อนไขการชำระเงิน ส่วนข้อกล่าวหาว่าซื้อกระดาษราคาแพงกว่าท้องตลาดนั้น อค.ได้ซื้อกระดาษจากแหล่งผู้ผลิตโดยตรง ประกอบด้วยบริษัทผลิตภัณฑ์กระดาษไทย และบริษัทแอ็ดวานต์อะโกร (บริษัท 99 กรุ๊ปเทรดดิ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด) และการจัดซื้อต้องมีคณะกรรมการสอบราคาและต่อรองราคาทุกครั้ง โดยซื้อจากผู้เสนอราคาต่ำสุด เพื่อประโยชน์ของอค.เป็นที่ตั้ง
“เรื่องนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงของกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์ใน อค. เนื่องจากที่ผ่านมาตนมีนโยบายปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นในองค์กร เช่น การเสนอซ่อมเครื่องจักรทางการพิมพ์ จำนวน 28 เครื่อง เมื่อเดือน เม.ย.47 เป็นเงินที่สูงถึง 33,424,617 บาท แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว พบว่า มูลค่าในการซ่อมแซมใช้เงินรวมแล้ว ไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีกรณีการนำงานไปจ้างพิมพ์ภายนอก โดยไม่มีสัญญาจ้าง เป็นการกระทำโดยพลการ จำนวน 28 รายการ ซึ่งหนังสือเหล่านี้ ค้าง สต๊อกอยู่ในโกดัง ไม่สามารถนำมาขายได้ ทำให้ อค.เกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันยังมีการอนุมัติให้ทำงานล่วงเวลารายชิ้น โดยไม่มีระเบียบ อค.รองรับ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบว่าบุคคลใดมีความบกพร่อง ทำให้ อค.เสียหาย จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับ อค. และต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย โดยขณะนี้ภายใน อค.มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตมากกว่า 10 ชุด” รักษาการณ์ ผอ.องค์การค้าฯ กล่าว
รักษาการณ์องค์การค้าฯ กล่าวอีกว่า ตนได้รับมอบอำนาจ โดยมีหนังสือมอบอำนาจอย่างชัดเจนจากเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สก สค.) ให้สามารถดำเนินการอันเป็นปกติธุระขององค์การค้าฯ และมีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท และขอย้ำว่าเรื่องดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขา สก สค. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการดำเนินการตามระเบียบของ อค.ที่ปฏิบัติกันมา
นายยืนยง กล่าวต่อไปว่า ขอให้สำนักงานตำรวจสันติบาลตรวจสอบสมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนและเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นด้วยว่าก่อตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่าสมาพันธ์ฯ ดังกล่าวไม่มีสถานที่ก่อตั้งแน่นอน จึงคาดว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง รวมถึงการตรวจสอบประวัตินายเทพนม ศิริวิทยารักษ์ ด้วย
“หากสมาพันธ์ฯ เป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องทุจริต คอรัปชั่นจริง ขอให้มาเอาข้อมูลเรื่องการทุจริตขององค์การค้ากับผมได้เลย พร้อมจะตรวจสอบหรือไม่ และตั้งแต่รับตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการองค์การค้าฯ มา 4 เดือน ผมมีแต่จะช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ต่ำกว่า 18 ล้านบาท เพราะรู้ว่าองค์การค้าฯ อยู่ในขั้นวิกฤติทางการเงิน และเรื่องการจัดซื้อกระดาษที่ว่านี้ ผมเพิ่งสั่งจ่ายทั้งหมดไปเพียง 5 ล้านบาทเศษ จากจำนวน 91 ล้านบาท ไม่ใช่ 105 ล้านบาทตามที่โดนกล่าวหา อย่างไรก็ตามทางฝ่ายบัญชีเสนอขออนุมัติจ่ายเงิน ตามกำหนดการจ่ายเงิน แต่ผมสั่งให้ชะลอหรือทยอยจ่าย เพื่อนำเงินมาบริหารงานและจ่ายเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่ก่อน และผมกล้ายืนยันว่าผมไม่เคยทุจริตหรือฉ้อโกงเงินขององค์การค้าฯ แม้แต่สตางค์แดงเดียว หากพบว่าผมฉ้อโกงขอให้ผมฉิบหาย ตายโหง ผมกล้าพูดต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพร้อมจะไปสาบานต่อหน้าพระแก้วมรกต นายเทพนมจะกล้าไปกับผมหรือเปล่า” นายยืนยงกล่าว พร้อมกับยกมือไหว้พระพุทธรูปภายในห้อง
ส่วนกรณีที่นายเทพนมร้องขอให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของตนนั้น นายยืนยง กล่าวว่า พร้อมและยินดีให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบทุกเวลา และถ้าผลการตรวจสอบไม่มีมูล ดังที่นายเทพนมกล่าวหา ก็จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้ให้ทนายความแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย จำนวน 500 ล้านบาทกับนายเทพนมแล้ว โดยจะดำเนินการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 75 จังหวัดทั่วประเทศ
พร้อมกับแจ้งความดำเนินคดีหนังสือพิมพ์บางฉบับ ส่วนบุคคลที่จะรวมตัวออกไปเคลื่อนไหว ขอให้ทำตามระเบียบ อค. หากไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกดำเนินการตามระเบียบวินัยของ อค. และกฎหมายอย่างเฉียบขาดและตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ตนไม่เคยปลดเจ้าหน้าที่ออก 300 คนตามที่นายเทพนมกล่าวอ้าง นั่นเป็นเพียงพนักงานรับจ้างที่หมดสัญญาจ้าง ถ้าเกิดการเคลื่อนไหว ขอให้สันติบาลตรวจบัตรประจำตัวว่าใช่เจ้าหน้าที่ อค.หรือไม่ เพราะคน อค.ส่วนใหญ่มีระเบียบวินัยของตนเอง
ด้านนายเทพพนม ศิริวิทยารักษ์ ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น เปิดในวันเดียวกันว่า วันนี้สมาพันธ์พิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนฯ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายพีรพันธุ์ เปรมภูติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยมี พล.ต.ต.ยุทธบูลย์ ดิษมาน รองเลขาธิการ ปปง.เป็นผู้รับเรื่องแทน ทั้งนี้ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษนายยืนยง จิรัฏติกาล รักษาการผอ.องค์การค้าของคุรุสภา คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนายเกษม กลั่นยิ่ง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สก สค.) เพราะมีพฤติกรรมและเจตนากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (5)
คือ ผิดต่อหน้าที่ราชการ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น และขอให้ดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 3 รวมถึงบริษัทเอกชนอีก 2 แห่ง ที่เกี่ยวพันกับการจัดซื้อจัดจ้างกระดาษขององค์การค้าฯ และจะไปยื่นหนังสือต่อนายวิจิตร ศรีสอ้าน ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร และพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสืบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
" ในสัปดาห์หน้า ผมจะนำข้อมูลหลักฐานไปให้ ปปง. พิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะมีสลิปบัญชีการจ่ายเงินที่นายยืนยงได้จ่ายให้กับนักการเมืองใน 3 จังหวัด ส่วนที่นายยืนยงจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผมนั้น ผมก็ยินดี เพื่อที่ศาลจะได้นำหลักฐานในลิ้นชักทั้งหมดของนายยืนยงออกมาเปิดเผยว่าได้จ่ายให้กับใครบ้าง" นายเทพพนม กล่าว