มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่า มีผู้หญิงไทยจำนวนประมาณ 5 ล้านคนต้องทนทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงของการหมดประจำเดือน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ “วัยทอง” ซึ่งความจริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้เหล่านี้สามารถแก้ไขได้
พ.ญ.มยุรี จิรภิญโญ หัวหน้าหน่วยสตรีวัยหมดระดู คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลว่า ประชากรสตรีไทยที่อยู่ในกลุ่มวัยทองคืออายุตั้งแต่ 49 ปีขึ้นไปมีประมาณ 5 ล้านคน แต่มีสตรีที่มารับการตรวจรักษาผลข้างเคียงจากการหมดประจำเดือน ซึ่งร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่ถึงร้อยละ 3 เนื่องจากยังคิดว่า การหมดประจำเดือนเป็นเรื่องธรรมชาติ
ที่สำคัญคือ ยังมีความกลัวว่า ฮอร์โมนทดแทนจะก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม ทำให้สตรีวัยทองต้องทนทุกข์ทรมานกับภาวะที่ร่างกายขาดฮอร์โมน เช่น อาการใจสั่น ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท อ่อนเพลีย สูญเสียกล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกบาง เตี้ยลง หลังค่อม กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ไอ จามเบาๆ มีปัสสาวะเล็ด ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ ช่องคลอดแห้ง แสบคัน เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ วิตกกังวล หวดกลัวโดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนี้ ยังมีอาการขาดสมาธิ ซึมเศร้า เบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร อารมณ์ทางเพศน้อยลง
“อาการเหล่านี้ ผู้หญิงเราแต่ละคนจะมีมากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันออกไป ซึ่งแพทย์สามารถช่วยค้นหาและวินิจฉัยว่า ควรได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนหรือไม่ และควรได้รับฮอร์โมนทดแทนชนิดใดที่จะเหมาะสม ทั้งนี้ ในรายที่มีอาการเหมือนกัน อาจได้รับยาคนละชนิดก็ได้ เนื่องจากแต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง”
ด้าน น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์ ประธานชมรมคุณภาพชีวิตวัยทอง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับในผู้ชายนั้น การอยู่ในช่วงวัยทองหมายถึงการขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งจะมีผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจ อาทิ รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างไม่มีเหตุผล หงุดหงิด โมโหง่าย อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่มีสมาธิ กล้ามเนือ้ไม่ค่อยมีแรง ทำงานไม่ดี ความรู้สึกนึกคิดทางด้านเพศลดลงและนำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเกิดความหม่นหมองเมื่อเข้าสู่วัยทอง อย่าทุกข์ใจกับการเข้าวัยนี้ เพราะการออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมน ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโต และหากมีภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายมากๆ แพทย์จะพิจารณาเสริมให้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าชายวัยทองทุกคนจะต้องรับฮอร์โมน