xs
xsm
sm
md
lg

อดิศัย ห้ามแม่พิมพ์ใช้บทโหดทำร้ายเด็ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อดิศัย” ย้ำครูและผู้บริหารโรงเรียนห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่รุนแรงส่งผลทำร้ายร่างกายและจิตใจเด็ก ศธ.สั่งสอบสวน ผอ.ร.ร.สักงามวิทยา กรณีลงโทษเด็กหญิงด้วยไม้เรียวอย่างรุนแรง ด้าน ผอ.สพท. กำแพงเพชร เขต 2 เผยผลตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นความจริง พร้อมย้ำเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ ส่วนโทษถึงขั้นใดนั้นต้องพิจารณาที่เจตนา ด้านครูหยุย” ชี้ ครูลงโทษเด็กรุนแรงเกินเหตุ อัด ทำไม่ถูกต้องเปิดเผยเรื่องชู้สาวของนักเรียน

จากกรณีผู้อำนวยการโรงเรียนสักงามวิทยา ลงโทษเด็กหญิงด้วยไม้เรียวอย่างรุนแรงนั้น นายสุนัย จุลพงศธร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า หลังทราบเรื่องจึงได้โทรศัพท์ไปถึงนายสุทิศ ทองสนิทกาญจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) กำแพงเพชร เขต 2 ถามถึงเหตุการณ์นายอะนน บัวลม ผู้อำนวยการโรงเรียนสักงามวิทยา ลงโทษนักเรียนหญิงด้วยไม้เรียวแล้ว ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ดำเนินการสอบสวนโดยเร่งด่วน เพราะได้รับรายงานเบื้องต้นว่าเป็นเรื่องจริง จึงถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

“ระหว่างการสอบสวนให้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริง อย่าได้มีการช่วยเหลือกันตามวัฒนธรรมองค์กรแบบดั้งเดิมอีก ซึ่งเรื่องนี้จะประสานกับนางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เพื่อพิจารณาว่าระหว่างที่มีการสอบสวนจะดำเนินการอย่างไรกับผู้อำนวยการโรงเรียน”

นายสุนัย กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่สนับสนุนการลงโทษเด็กด้วยไม้เรียว แม้จะมีการยกเลิกไปแล้ว แต่กระทรวงก็ทราบดีว่ายังมีครูจำนวนหนึ่งที่ยังสะท้อนความรุนแรงออกมาในรูปของการลงโทษด้วยการตี

“หลายครั้งที่ผมเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อประชุมครูและผู้บริหารมักจะมีการเขียนจดหมายขึ้นมาขอให้นำไม้เรียวกลับคืนมาลงโทษเด็กได้ แต่ตนได้นำเสนอความคิดไปว่าการลงโทษเด็กด้วยวิธีที่รุนแรงจะเป็นการก่อให้เกิดความรุนแรงสะสมในตัวเด็ก และเป็นภาพสะท้อนออกมาในสังคม”

ด้านนายสุทิศ กล่าวว่า ผมจะเดินทางไปสอบสวนผอ.และเด็กที่ร่วมกันก่อเหตุหนีโรงเรียนไป 3 คนว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร โดยจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง อย่างไรก็ดี ในระหว่างดำเนินการสอบสวนผอ.โรงเรียนยังอยู่ที่เดิมได้เนื่องจากการลงโทษด้วยการตีเป็นเพียงการดูแลลูกศิษย์ ไม่ใช่ปัญหาการจัดการเรียนการสอน ส่วนโทษที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะได้รับถึงขั้นใดนั้น คงต้องดูที่เจตนาว่าทำไปเพื่ออะไร ส่วนเด็กมีพฤติกรรมหนีเรียนไปทำอะไร

ขณะที่นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีที่ผู้อำนวยการโรงเรียนสักงามลงโทษนักเรียนอย่างรุนแรงด้วยการเฆี่ยนด้วยไม้หวายถึง 39 ทีว่า ถือเป็นการลงโทษที่รุนแรง แต่ตนก็เข้าใจเจตนาของผอ.โรงเรียน เพราะเท่าที่ทราบขณะนี้ โรงเรียนต่าง ๆ กำลังปวดหัวและหนักใจกับการดูแลพฤติกรรมของเด็ก 4 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรก ปัญหาทางเพศที่มั่วกันหนักมาก โดยเด็กไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เรื่องที่ 2 ติดเกม หนีเรียนไปเล่นเกม เรื่องที่ 3 การดื่มสุราเมายา ยกพวกตีกัน และเรื่องสุดท้าย เด็กมีพฤติกรรมฟุ่มเฟือยเกินขนาด ทำให้เกิดการขโมยเงินเพื่อนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ

ปัญหาเหล่านี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ ที่ไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เป็นปัญหาเชิงพฤติกรรมของยุคสมัยใหม่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ครูจะถูกผู้ปกครองและสังคมบีบคั้น ทำให้เกิดการกดดัน ครูจึงใช้มาตรการที่เข้มขึ้น โดยการลงโทษ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎมาว่าไม่ให้ตีเด็กนักเรียน ในสมัยที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็นรมว.ศึกษาธิการ จึงทำให้ไม่มีการตีนักเรียน แต่ก็ยังสามารถตีได้โดยการตีมือ แต่คงไม่น่าจะถึงขั้นตีก้นรุนแรงขนาดนั้น ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

สำหรับกรณีที่ที่ครูปกครองออกมาเปิดเผยว่าเด็กมีพฤติกรรมชู้สาวนั้น นายวัลลภ กล่าวว่า ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ครูไม่ควรนำความลับของเด็กมาพูดโดยเด็ดขาด อย่างเช่นกรณีนี้ พูดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้เคยมีปัญหารับสารภาพว่าเคยไปร่วมเพศ หรือไปอยู่กับใครมา เท่ากับเป็นการเปิดโปงและประจานเด็ก ตรงนี้แม้กระทั่งศาลยังห้าม ที่จะต้องให้เกิดความลับของเด็ก ควรจะบอกแต่เพียงว่า ทางโรงเรียนดูแลไม่ดี และเด็กหนีเรียนไปทำพฤติกรรมไม่ดีก็พอแล้ว ขณะนี้ถือว่าโรงเรียนพลาด 2 เรื่อง คือ 1.รุนแรงเกินกว่าเหตุ 2.เอาเรื่องของเด็กมาเปิดเผย

“ขณะนี้ยอมรับว่า ตอนนื้ทางโรงเรียนเครียดมาก เกี่ยวกับการดูแลพฤติกรรมของเด็ก เพราะฉะนั้นทางโรงเรียนจะต้องใช้แบบต่างประเทศ คือ 1. มีห้องพฤติกรรมเด็กเฉพาะโดยจะมีครูที่ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี และมีอุปกรณ์พร้อม เพื่อคุยกับเด็กในเรื่องของพฤติกรรม ซึ่งเด็กอาจจะเรียนช้ากว่าคนอื่น ก็ไม่เป็นไร 2.ใช้กลุ่มสหวิชาชีพเข้ามาช่วยดูแล และหาทางออกให้กับเด็ก บางครั้งอาจจะใช้วิธีการปราม ว่าหากเด็กไปนอนกับเด็กอายุที่ไม่ถึง 18 ปี ก็สามารถติดคุกได้ โดยใช้ทางกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือดูว่ามีสิ่งแวดล้อมอะไร ที่ดึงเด็กไม่ให้ไปโรงเรียน เพราะอาจจะทำให้ปัญหาลดลง และการตีของครูก็คงจะลดลง เพราะมีหลายฝ่ายช่วยกันแบกรับภาระเหล่านั้นไว้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการควรจะทำเรื่องนี้ไปให้ไกลที่สุด การตีเด็กจะได้ไม่ได้ และจะได้มีอื้อฉาวเช่นนี้อีก” นายวัลลภ กล่าวและว่ากรณีที่ครูใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทางกระทรวงศึกษาธิการก็มีระเบียบและมาตรการในการลงโทษอยู่แล้ว

ด้านนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่าสถานการณ์การลงโทษเด็กของโรงเรียนทั่ว ๆ ไปโดยรวมดีขึ้นมาก แต่ยังมีประปรายที่เป็นข่าว ซึ่งตนก็ได้รับการจดหมายร้องเรียนจากผู้ปกครองเกี่ยวกับการลงโทษของครู มีผู้ปกครองบางคนไปแจ้งความดำเนินคดีก็มี เช่น ถูกครูตบหลังเป็นรอยแดง มีการฟ้องร้องคดีอาญา ตนจะต้องหาทางทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูทุกคนได้เข้าใจว่าลงโทษเด็กได้ แต่ห้ามทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ยกตัวอย่างมีครูบางคนด่าเด็ก เป็นเรื่องที่หมดสมัยไม่ควรจะทำแล้ว ส่วนการทำร้ายร่างกายเข้าข่ายอาญา ผู้ปกครองไปฟ้องร้องได้

ถ้าหากผู้อำนวยการโรงเรียนกระทำจริงตามข่าวถือว่ามีความผิดแน่ และตนสั่งการให้ติดตามอย่างใกล้ชิด ระหว่างการสอบสวนผู้อำนวยการโรงเรียนจะยังอยู่ในตำแหน่งได้หรือไม่นั้น ต้องดูตามเหตุการณ์ ซึ่งตอนนี้ ศธ.มีตำแหน่งประจำช่วยราชการอยู่มาก หากมีความผิดจริง อาจจะให้ไปประจำย้ายออกก่อนได้ ถ้าสอบสวนแล้วไม่มีปัญหาก็กลับไปตำแหน่งเดิมได้ ทั้งนี้ ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ไม่ใช่ทุกคนร้องเรียนมาต้องเชื่อหมด เพราะมีกระบวนการกลั่นแกล้งผู้บริหารอยู่มาก
กำลังโหลดความคิดเห็น