xs
xsm
sm
md
lg

“Anti-Aging” รวมหมอมาชะลอความแก่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด ?...ปาเข้าไปจะ 30 แล้วยังไม่ได้แต่งงาน ...

แล้วสัตว์อะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวพอๆกับการไม่ได้แต่งงาน...อีกา โดยเฉพาะส่วนขาของมัน....

คำถามชวนหัวเช่นนี้มักเกิดขึ้นในวงสนทนาของพวกผู้ชายที่ชอบจ้องจับผิดพฤติกรรมรักสวยรักงามของผู้หญิงทั้งหลาย ไม่ว่าจะการลบริ้วรอยบนใบหน้า ลดหน้าท้องกันพุงป่อง น่องโป่ง เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องอย่างนี้ ผู้ชายก็ไม่มีวันเข้าใจจนกว่าจะเป็นเสียเอง

ด้านฝ่ายหญิงหากได้ยินเข้า ก็คงไม่สบอารมณ์ แต่ก็คงไม่กล้าทำหน้ายู่ ด้วยกลัวจะไปเพิ่มริ้วรอยบนใบหน้าให้มากขึ้น เพราะริ้วรอยเดิมที่เพิ่มมาตามอายุ และประสบการณ์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางลง ว่าแล้วก็วิ่งหาทางจำกัดไปเสียให้พ้นทาง

ศาสตร์ใหม่เพื่อสุขภาพไม่ใช่เพื่อความงาม

ว่ากันว่าความห่วงสวยห่วงงามของคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงนั้นมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน มานานมากแล้ว โดยสังเกตได้จากความรู้ทางด้านยาอายุวัฒนะ หรือการทำให้ชราภาพช้าด้วยวิธีต่างๆ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องกระบวนการของการชราภาพ กลับไปคิดว่าที่ชราภาพที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ นั้น เกิดจากกรรมหรือโชคร้าย ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ถูกสั่งสมกันมา

ในขณะที่ต่างประเทศกำลังเกิดศาสตร์ทางการแพทย์แขนงใหม่ของโลกคือ Anti-Aging Medicine หรือการชะลอความชราภาพที่พยายามให้ผู้คนมีอายุยืนขึ้นตามอายุของเซลล์ที่แท้จริงของร่ายกาย และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะความรู้ทางการแพทย์ได้บอกแล้วว่าคนเราสามารถมีอายุยืนได้ถึง 100 ปี หากมีการดูแลชีวิตและแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี เพราะคนเรามีโอกาสเลือกที่จะใช้ชิวิตอย่างมีคุณภาพ เลือกรับประทานอาหาร เลือกอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

สรุปก็คือถึงแม้จะอายุมากแต่ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ ไม่เป็นภาระต่อครอบครัว ยังสามารถดูแลตัวเองได้ เดินออกไปจับจ่ายซื้อของได้ หรือพาสุนัขออกไปเดินเล่นได้

แต่ทั้งนี้ทีมแพทย์จากหลายสาขาจะต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาถึงสาเหตุของการเกิดโรคในร่างกายตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค และทำการหยุดยั้งหรือรักษาก่อนที่จะเกิดโรคนั้นๆ มีแนวทางในการดูแลควบคุมสาเหตุของการเกิดโรคไม่ให้มีการพัฒนาต่อไป เพื่อให้หลังจากที่รักษาแล้วร่างกายจะกลับมาสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

พ.ญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเลเซอร์และผิวหนัง เปิดเผยว่า ศาสตร์ของ Anti-Aging ซึ่งเป็นการแพทย์แขนงใหม่ของโลกนั้น ไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ แต่เป็นการทำให้ชราภาพอย่างมีคุณภาพ โดยการศึกษาทางศาสตร์นี้ได้มีมาเมื่อประมาณ 20 – 30 ปีมาแล้ว แต่เริ่มพัฒนาจริงๆ เมื่อ 10 - 20 ปีที่ผ่านมาในทวีปยุโรป และค่อยๆ มาที่สหรัฐอเมริกาจนกลายเป็นแพทย์แขนงใหม่ขึ้นมา

“เป็นศาสตร์ที่แพทย์จากหลายสาขาทั้งอายุรกรรม จิตเวช สูตินรีเวช แพทย์ผิวหนัง แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง จะต้องเข้ามาร่วมกันตรวจค้นพบความผิดปกติของร่างกายคนตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค จะเป็นการตรวจสุขภาพที่ละเอียดมาก ใช้เครื่องมือทันสมัยที่สุด วิเคราะห์ระบบการหมุนเวียนของเลือด เส้นเลือด เทียบอายุของคนกับอายุของเส้นเลือด ตรวจการทำงานของหัวใจ และระบบต่างๆ ของร่างกายอย่างละเอียดที่สุด และการทำงานของแพทย์แต่ละสาขาจะมีข้อมูลที่ส่งถึงกันตลอด สามารถอธิบายให้ผู้ที่มารับการตรวจนั้นเข้าใจได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีการให้ยาต้านกัน ใช้แฟ้มของคนไข้แฟ้มเดียวกัน มีแนวทางการรักษาที่เอื้อกันทุกด้าน”

สำหรับทีมแพทย์ผู้ตรวจด้วยแพทย์แขนงใหม่นี้จะมีต้องมีความเข้าใจในระยะก่อนป่วยหรือระยะซ่อนเร้น คือระยะที่บอกว่ามีความบกพร่องในร่างกายแล้ว เพราะปกติจะมีเกณฑ์ที่วัดว่าอาการแบบใดจึงจัดว่าเป็นผู้ป่วยหรือเป็นโรค แต่แพทย์แขนงใหม่จะตรวจให้ลึกลงไปอีกโดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อาทิ ตรวจให้พบของสาเหตุการอ่อนเพลีย ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความสบายใจให้แก่ผู้ที่มารับการรักษา เพราะสิ่งสำคัญในการตรวจพบเจอในระยะก่อนที่จะเป็นโรคนั้น จะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ใหม่ถึงเกือบ 100% และแพทย์ในแขนงนี้จะต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะพูดคุยกับผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยเข้าใจง่ายขึ้น และมีระยะเวลาในการตรวจที่ชัดเจน จึงทำให้แพทย์กลุ่มนี้จะต้องมีเวลาที่แยกออกมาต่างหากเพื่อให้การรักษาที่ดีที่สุด
“เมื่อทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งหมดแล้ว ร่วมกับข้อมูลจากประวัติและการตรวจร่างกายของคนไข้ แพทย์จะสรุปการประเมินผลสมรรถภาพร่างกาย ความพร่องของสารที่จำเป็น และฮอร์โมนที่สำคัญต่างๆ พร้อมเสนอแนวทางการแก้ไข พร้อมแนวทางการป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นไปอีก โดยหลักๆ ก็จะ ประเมิน Lifestyle ที่ไม่ถูกต้อง เพื่อหาทางแก้ไข เสนอแนวทางในการเลือกรับประทานให้ถูกต้อง แนะการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละคน เรื่อยไปจนถึงแนะการใช้วิตามิน แร่ธาตุ เพื่อปรับสมดุล หรือใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้ที่มีการบกพร่องฮอร์โมน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องหมั่นมาตรวจตรวจสุขภาพกับแพทย์เป็นระยะอย่าทิ้งห่าง เพราะคนเราหยุดความแก่ไม่ได้”พ.ญ.อัจจิมาให้ข้อมูล

ทำไมคนเราถึงต้องแก่ชรา
ทำไมผู้หญิงแก่ก่อนผู้ชายเสมอ

พ.ญ.อัจจิมาอธิบายเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้วคนเราแก่เพราะฮอร์โมนในร่างการลดลง ไม่ใช่ฮอร์โมนลดลงเพราะเราแก่ คนเราแก่เพราะสารอนุมูลอิสระที่ทำร้ายร่างกายอยู่ตลอดเวลา ขณะที่กระบวนการต้านอนุมูลอิสระ (วิตามิน แร่ธาตุ สารอาหาร และ lifestyle ) อาจทำงานไม่สมบูรณ์ตลอดเวลา

“คนเราแก่เพราะเซลล์ในร่างกายหยุดการแบ่งตัว หยุดการเจริญเติบโต เมื่อกาลเวลาผ่านไป แก่เพราะอาจมีฮอร์โมนอินซูลินและน้ำตาลในเลือดสูงมากเกินไป จากการกินอาหารหรือดำเนินชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง ความชรา คือ ผลที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ ผสมปนเปกันไป ซึ่งสาเหตุทั้งหมดยังเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการค้นคว้าต่อไป เพื่อจะหาหนทางป้องกันและแก้ไขความชราได้”

สำหรับผู้หญิงและผู้ชายจะมีระยะของ Anti-Aging ที่ต่างกันคือ ผู้หญิงจะเริ่มที่อายุ 35 ปี ส่วนผู้ชายจะเริ่มที่อายุ 45 ปี ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงมากเพราะช่วงอายุกำลังเปลี่ยนไป ถือเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่ความชราภาพ ส่วนกลุ่มที่อายุน้อยกว่านั้นอาจทำการตรวจได้เมื่อมีสัญญาณเตือนในเรื่องสุขภาพ
แต่ Anti-Aging นั้น ไม่ว่าจะมีการรักษาภายนอกที่ดีเพียงใดก็ตาม จะต้องมีสุขภาพจิตใจและร่างกายที่ดีมาจากภายในด้วย คือได้รับวิตามินหรือสารอาหารที่ครบทุกตัวที่จำเป็น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อการชะลอความชราภาพ เพราะหลักการในการชะลอความชรานั้นคือจะต้องเรียนรู้หลักการทำงานของร่างกาย เพื่อให้รู้ว่าจะต้องดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วว่าความผิดปกติจะเกิดเพราะอะไรก็จะสามารถป้องกันได้

....อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรจำขึ้นใจก็คือ ถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดในโลกเพียงใด ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความชราภาพได้หากร่างกายภายในไม่สมบูรณ์จากภายใน ดังนั้น การดูแลตัวเอง การตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อค้นหาสาเหตุการเกิดโรคตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคนั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากหากต้องการที่จะอายุยืนอย่างมีคุณภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น