xs
xsm
sm
md
lg

โลกแห่งเสียงดนตรีของ นร.ตาบอด ชีวิตใหม่เมื่อ "อักษรเบรลล์เริงระบำ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปภายในรั้วโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นก็คือ ภาพนักเรียนเกาะไหล่กันเดิน นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงอยู่ริมสนามหญ้า กำลังเล่นฟุตบอลที่ลูกบอลทำขึ้นพิเศษโดยใส่ทรายเพื่อให้เกิดเสียงดัง บ้างก็นั่งทำการบ้านโดยมีอาสาสมัครเป็นนักศึกษาหรือบุคคลทั่วไปคอยสอน บางคนเปิดโลกการเรียนรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษโดยมีเสียงบอกว่าขณะนี้กำลังอยู่เว็บไซต์ใด พร้อมอ่านรายละเอียดบนหน้าเว็บ


อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เด็กๆ เหล่านี้มีความสุขมากขึ้นเพราะ "อักษรเบรลล์" สื่อสำคัญของพวกเขากำลังเริงระบำและชักนำให้ก้าวเข้าไปสู่โลกของเสียงดนตรี

โลกมืดที่รอความช่วยเหลือ

ก่อนที่จะไปสัมผัสโลกและภาคแห่งความสุข คงต้องย้อนกลับไปสัมผัสกับชีวิตจริงของเด็กๆ นักเรียนตาบอดกันบ้าง เพราะหากมองผิวเผินเหมือนกับว่านักเรียนเหล่านี้อยู่อย่างมีความสุขภายในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เด็กๆ และทางโรงเรียนมีปัญหามากมาย ที่สำคัญคือสังคมส่วนใหญ่ยังเข้าใจโลกของพวกเขาอย่างแท้จริงไม่มากนัก

จิราพร เอี่ยมดิลก ครูใหญ่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เล่าว่า เด็กๆ เหล่านี้เขารู้สึกเหงา อยากอยู่กับพ่อแม่ อยากเรียนสูงๆ อยากยืนอยู่ในสังคมเหมือนคนทั่วไป แต่สิ่งที่พวกเขาฝันนั้น น้อยคนที่จะเดินไปถึงฝั่งฝัน หากปราศจากคนปกติยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หรือมาช่วยเติมเต็มในส่วนที่พวกเขาต้องการ

"เรารู้ว่าเด็กทุกคนอยากอยู่กับครอบครัว จะสังเกตเห็นว่าทุกวันศุกร์เขาจะมานั่งคอยว่าญาติจะมารับกลับบ้านมั้ย ถ้าครอบครัวของเด็กคนนั้นอยู่ในกรุงเทพฯหรือปริมณฑลอาจมีญาติมารับกลับบ้าน ขณะที่เด็กอีกกลุ่มไม่มีโอกาสกลับไปฟังเสียงอันอบอุ่นของพ่อแม่พี่น้องเพราะอยู่ต่างจังหวัด จนรู้สึกเคยชิน ทว่าเด็กส่วนหนึ่งก็เบนเข็มหาผู้ใจดีแทนแม้จะรู้ว่าไม่ยั่งยืน"

นอกจากความรักความอบอุ่นที่พวกเขาถวิลหาแล้วยังต้องการอยู่ในสังคมโดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคม ครูใหญ่ บอกว่า สิ่งที่จะช่วยให้เด็กกลุ่มนี้อยู่ในสังคมได้ต้องส่งเสริมด้านความรู้ความสามารถ ตลอดจนให้โอกาสทำงานด้วย

"มีเด็กบางคนเรียนจบมัธยม ปริญญาตรี ไม่ได้ทำงาน เพราะบริษัทไม่รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่มีกฎหมายว่าจะต้องรับคนพิการเข้าทำงาน หากไม่รับจะต้องจ่ายเงินแทน ซึ่งบริษัทมักจะเลือกจ่ายเงิน"

ปัจจุบันโรงเรียนสอนคนตาบอดเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลประเภทพิเศษ ใช้ระบบการสอนหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ รับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งอยู่ประจำและไปกลับ

"ขณะนี้เรามีนักเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ 262 คน และส่วนหนึ่งได้ส่งนักเรียนเรียนร่วมในโรงเรียนปกติ เช่น โรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏฯ โรงเรียนศรีอยุธยา เซนต์คาเบรียล เป็นต้น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนที่มีความผิดปกติทางสายตาให้มีความสามารถทัดเทียมกับคนตาดี
นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้พัฒนาปรับปรุงและจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เพียงพอแก่ความต้องการ อย่างเช่น จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ สปิชซนิดิไซเซอร์ เบรลล์ดิสเพลย์ หนังสือและสิ่งพิมพ์ ตลอดจนการผลิตสื่อสำหรับการเรียนการสอนของโครงการเรียนร่วม

"เราไม่ได้ส่งนักเรียนไปเรียนร่วมเฉยๆ ต้องส่งอาจารย์ไปหนึ่งคนเพื่อพิมพ์ตำราและอื่นๆ ให้เป็นอักษรเบรลล์เพื่อให้เด็กใช้เป็นตำราเรียน รวมถึงทำสื่อต่างๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์วิชานั้นๆ อธิบาย และตามทันเพื่อนนักเรียนปกติด้วย การที่เด็กไปเรียนร่วมกับเด็กปกตินั้นต้องใช้ความพยายาม ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งก็แฝงจุดดีตรงที่ว่าในอนาคตพวกเขาจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่เป็นภาระของครอบครัว"

จากนั้น จิราพร ฉายภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนสายตาพิการว่า โรงเรียนสอนคนตาบอดนั้นสังกัดโรงเรียนเอกชน โดยได้รับเงินอุดหนุนรายหัวจนถึงมัธยมต้น พอขึ้นมัธยมปลายจะไม่ได้รับเงินอุดหนุน ดังนั้น เด็กเหล่านี้อยู่ได้ด้วยเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา

"จริงๆ แล้วรัฐบาลควรยกเว้นค่าเล่าเรียนแก่เด็กกลุ่มนี้จนถึงมัธยมปลาย แต่นี่พอเด็กขึ้นชั้นมัธยมปลายพวกเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างเหมือนเด็กปกติ เพียงเพราะขึ้นอยู่กับการศึกษาเอกชน มันควรมีข้อยกเว้นขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่รัฐบาลก็ให้เงินอุดหนุนแก่เด็กโดยตรง เพื่อให้โอกาสเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ในสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ"

เมื่ออักษรเบรลล์ร้องเพลงได้

ทีนี้ก็มาถึงเรื่องราวของโลกแห่งเสียงดนตรีของพวกเขากันบ้าง เพราะในแต่ละวันจะมีอาสาสมัคร รวมถึงผู้คนมากหน้าหลายตาเดินทางเข้าไปให้ความสุขกับเด็กๆ อยู่เป็นระยะๆ

เริ่มต้นจากธเนศ เอื้ออภิธร ผู้อำนวยการสถาบัน Enconcept E-Academy ธเนศบอกว่า ขณะนี้ได้จัดทำหนังสืออักษรเบรลล์ร้องเพลงได้(มีหนังสือเบรลล์และซีดี) มอบให้โรงเรียนนำไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนนักเรียน โดยชุดแรกทำ 20 เพลง เพื่อขยายโอกาสการเรียนภาษาอังกฤษแนว "สาระบันเทิง" ไปสู่กลุ่มนักเรียนที่พิการทางสายตา ซึ่งใช้การสัมผัสกับการฟังเป็นหลัก

สิ่งที่จุดประกายความคิดทำอักษรเบรลล์ร้องเพลงได้นี้ เกิดจากมีนักเรียนพิการทางสายตา 2 คนไปเรียนภาษาอังกฤษกับทางสถาบันฯ แล้วสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยแถวหน้าได้ จึงกลับมาคิดว่าสถาบันก็มีบทเพลงกว่า 200 เพลงที่ปกติก็มีการนำมาใช้เพื่อให้เกิดความรู้ด้านศัพท์และไวยากรณ์ต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนอยู่แล้ว ถ้านำมาประยุกต์ใช้กับเด็กๆ กลุ่มนี้ น่าจะมีประโยชน์บ้าง

"คิดว่าสถาบันของเราน่าจะเปิดโลกการเรียนของเด็กกลุ่มนี้ จึงมาปรึกษากับครูใหญ่ ท่านก็แนะนำว่าให้ดัดแปลงจากอักษรปกติมาเป็นอักษรเบรลล์แล้วระหว่างที่เรียนเด็กจะได้ใช้มือสัมผัสตัวอักษรแต่ละคำตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม คิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษแล้วนำไปใช้ได้ทั้งทางด้านการศึกษาต่อในระดับสูงรวมทั้งนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย"

เมื่อผลิตเนื้อเพลงและหนังสืออักษรเบรลล์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แน่นอนต้องทดลองว่าเด็กรับได้มากน้อยเพียงใด

แน่นอน อริสรา ธราปกิจ หรือครูพี่แนน ก้าวออกมาหน้าห้องเรียนที่ได้จำลองขึ้นโดยนำเด็กมานั่งเรียน ซึ่งจากการสังเกต ช่วงแรกๆ เด็กยังเขินไม่กล้าพูดตามครูพี่แนน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เด็กๆ ก็เริ่มคุ้นเคยจึงแสดงออกด้วยการพูดและร้องเพลงตาม ถึงแม้ว่าจะเข้าใจคำศัพท์บ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็สนุก ดูจากสีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มพร้อมกับเสียงได้เดียงสา "พี่แนนร้องเพลงอีก"

เปิดใจอาสาสมัครช่วยเหลือน้อง

ไม่เพียงแต่ครูพี่แนนเท่านั้น ความจริงๆ เด็กตาบอดเหล่านี้ก็มีผู้คนให้ความสนใจเข้ามาให้ความช่วยเหลือในฐานะ "อาสาสมัคร" ด้วย เช่น อาสาสมัครสอนการบ้าน อ่านหนังสือ บันทึกเทป พิมพ์งานให้นักเรียน สอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน คณิตศาสตร์ รวมทั้งมาสร้างความบันเทิงช่วงเย็นหลังเลิกงาน หรือวันหยุด โดยมานั่งเล่านิทานให้น้องๆ สอนร้องเพลง สอนดนตรี เป็นต้น

สุพัตรา ขุมเงิน หรือ กุ้ง และ ศศิธร วุฒิพันธุ์ หรือฝน นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กำลังสอนการบ้านให้แก่น้อง ...เป็นภาพที่น่าประทับใจที่พี่ๆ คนปกติหาเวลาว่างหลังเลิกเรียนมาสอนการบ้านและร่วมทำกิจกรรมอื่นๆ ให้แก่น้อง

ฝน เล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่เข้ามา ณ โรงเรียนแห่งนี้เพื่อต้องการทำงานส่งอาจารย์ พอได้มาสัมผัส เห็นความเป็นอยู่และความไร้เดียงสาของน้อง ทำให้ตัดสินใจนั่งรถโดยสารประจำทางมาสอนการบ้านน้องเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน คือ อยากให้น้องเข้าเรียนทันเพื่อนๆ บางวันน้องไม่มีการบ้านจะไปหาหนังสือนิทานจากห้องสมุดมาเล่าให้น้องฟังแทน

ส่วน กุ้ง คล้ายกับฝน บางวันก็สอนการบ้าน เล่านิทาน หรือไม่ก็จูงน้องเดินเล่น กุ้งรู้ว่าน้องเขาอยากคุยอยากเล่าว่าวันนี้เขาทำอะไรมาบ้าง "บางครั้งพอถามว่าวันนี้ใครทำอะไรบ้าง ทุกคนจะแย่งกันตอบจนฟังไม่รู้เรื่อง ต้องใช้วิธีเรียกชื่อให้พูด

"ต้องยอมรับความเฉลียวฉลาดของน้องโดยเฉพาะการแยกเสียง อย่าง 2-3 วันแรกที่เข้าไปสอนการบ้านและร่วมกิจกรรมต่างๆ น้องจะถามว่าพี่ชื่ออะไร เริ่มวันที่ 4 พอพูดออกมาเท่านั้นน้องเรียกชื่อได้อย่างถูกต้องว่าพี่คนไหนชื่ออะไร ซึ่งสร้างความแปลกใจไม่น้อย"

ขณะที่ กิตติเกรณ์ ทวีชัยพฤกษ์ หรือ ทอม เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทุ่มเทแรงกายใจเพื่อน้อง โดยทุกเย็นจะเดินทางมาโรงเรียนเพื่อพูดคุย เล่านิทาน วาดรูป และหาเกมมาให้น้องๆ เล่นอย่างต่อเนื่อง

"เคยทำเกมเป่ายิงฉุบ โดยตัดกระดาษเป็นรูปวงกลม แทน ค้อน รูปสี่เหลี่ยม แทน กระดาษ แล้วรูปสามเหลี่ยม แทน กรรไกร แต่น้องเล่นแป๊บเดียวก็ไม่สนใจ บอกว่าไม่สนุก ตอนนี้จึงมีแนวคิดทำหุ่นสุดสาคร เพราะน้องเคยฟังเสียงจากโทรทัศน์แล้วมาถามว่า สุดสาคร หน้าตาเป็นอย่างไร กลับมาคิดว่าน่าจะทำหุ่นขึ้นเพื่อให้น้องสัมผัสว่าตัวละครในสุดสาครมีลักษณะอย่างไรบ้าง" ทอม บอกต่อว่า "ผมสามารถผลิตหุ่นได้เพราะมีความรู้ศิลปะและเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมนักเขียนการ์ตูน แต่ติดขัดทุนจึงชะลอไว้ก่อน"

....เห็นภาพดีๆ อย่างนี้แล้ว ก็อดปลื้มใจแทนเด็กๆ ไม่ได้
....แล้วคุณล่ะคิดทำอะไรเพื่อสังคมบ้างแล้วหรือยัง

กำลังโหลดความคิดเห็น