ค่านิยมเรื่องรูปร่างที่ "ผอมบาง" นั้น กำลังจะเป็นค่านิยมที่ล้าสมัยในต่างประเทศ เพราะมีการรณรงค์เรื่องรับประทานอาหาร ให้ถูกหลักโภชนาการ มีการออกกำลังกายที่เหมาะสม การมีรูปร่างที่ดีต้องมีลักษณะบ่งชี้ว่ามีสุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่ผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก ซึ่งมองดูแล้วแทนที่สวยงามกลับน่าเป็นห่วง เพราะผู้หญิงเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับคนป่วย
ขณะที่วัยรุ่นไทยยังมีค่านิยมผิดๆ โดยเฉพาะสื่อ ดารา นักร้อง พยามยามปลูกฝังค่านิยมเหล่านี้ให้ซึมลึกเข้าไปในวัยรุ่นหญิง จนเกิดผลกระทบเรื่องสุขภาพตามมา
ทั้งนี้ มีการจัดสัมมนาเรื่อง "รูปลักษณ์-เรือนร่าง : มุมมองของวัยรุ่นไทย" โดย ดร.จุลนี เทียนไทย อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สังคมได้ตระหนักถึงพิษภัยค่านิยมผิดๆ ของวัยรุ่นร่วมทั้งร่วมกันหาทางออกและแก้ไขปัญหาร่วมกัน
"ผอมบาง" ค่านิยมสาววัยรุ่นไทย
ดร.จุลนีเปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลเด็กวัยรุ่นชายและหญิงจำนวน 36 คน ช่วงอายุ 16-19 ปี ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย อย่างละ 5 โรง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมีฐานะปานกลาง และค่อนข้างสูง โดยที่ผลการวิจัยระบุว่า ค่านิยมของเด็กสาวสมัยนี้ ต้องการที่จะมีรูปร่างผอมเพรียว สูงประมาณ 168-175 เซนติเมตร ไร้ไขมันส่วนเกิน สมสัดส่วน มีลักษณะเป็นทรงตรง อก เอว สะโพกไม่ต่างกันมาก ซึ่งวัยรุ่นหญิงคิดว่า รูปร่างลักษณะดังกล่าวนี้เป็นรูปร่างของสาวรุ่นใหม่
เด็กหญิงคนหนึ่ง บอกถึงเรือนร่างในอุดมคติว่า "ผู้หญิงจะต้องมีรูปร่าง "ผอม" เพราะจะทำให้สามารถเลือกใส่เสื้อผ้าได้ง่าย ส่วนผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่ อวบๆ หรืออ้วน จะใส่เสื้อผ้าไม่สวย" ซึ่งเด็กที่ต้องการผอมมักมีเรื่องเทรนด์การแต่งตัวตามแฟชั่นตะวันตก หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ฮ่องกง เข้ามาเป็นตัวกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นสายเดี่ยว เกาะอกหรือกระโปรงสั้นๆ จึงสร้างความกดดันนำความผอมมาสู่เรือนร่างอย่างง่ายดาย
ขณะเดียวกันวัยรุ่นชายกลับมองว่า "ผู้หญิงในอุดมคติควรจะมี ส่วนเว้า ส่วนโค้ง ของรูปร่าง ดูแล้วมีสุขภาพดี โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีผิวขาว ผิวพรรณดี จะให้ความรู้สึกสะอาด สนใจดูแลตัวเอง มีคลาส ดูเป็นลูกผู้ดี และหากยิ่งมีหน้าตาเป็นลูกครึ่งก็ยิ่งดีใหญ่ ส่วนค่านิยมของผู้หญิงที่ต้องผอมนั้น วัยรุ่นชายกลับเห็นว่า ผู้หญิงทุกวันนี้มีรูปร่างผอมเกินไป เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ขาเหมือนตะเกียบ ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนคนป่วย
หนุ่มวัยรุ่นไทยต้อง แมน-สมาท-ดูดี
ดร.จุลนีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับรูปลักษณ์-เรือนร่างของผู้ชายนั้น ทั้งวัยรุ่นชายและหญิงมีภาพในอุดมคติคล้ายคลึงกัน คือ มีรูปร่างที่สูง แข็งแรง โดยเฉลี่ยความสูงอยู่ที่ 175-189 เซนติเมตร กล้ามเนื้อมีความกระชับและอาจมีกล้ามนิดหน่อยเพราะถ้ามีมากเกินไปจะให้ความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนั้นมีการศึกษาน้อย ใช้แรงงาน ไม่ฉลาด โบราณ นอกจากนี้ผู้หญิงยังนิยม ผู้ชายที่ดูเป็นสปอร์ตตี้ หรือเป็นนักกีฬา เป็นแมนสามารถปกป้องผู้หญิงได้ มีบุคลิกดี
"จริงๆ แล้วหล่อหรือไม่หล่อไม่สำคัญสำหรับหนู แค่เป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนานก็พอแล้ว"น้องโบว์ หนึ่งในตัวอย่างจากงานวิจัยทอดความรู้สึกของตัวเอง
ดังตัวอย่างที่ยกขึ้นมานั้น ดร.จุลนี อธิบายว่า นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ผู้หญิงยังมองถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปกายและค่านิยม องค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญรวมอยู่ด้วย

"สื่อ" ตัวดีกระตุ้นค่านิยมผิดๆ
ส่วนปัจจัยที่ก่อให้เกิดค่านิยมที่ให้ความสำคัญในเรื่องรูปลักษณ์เรือน-ร่างนั้น เกิดจาก 3 ปัจจัย หลักๆ คือ 1.การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนในปัจจุบันมองว่า ร่างกายเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง 2.การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามรุดหน้ามาก แพทย์สามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายมนุษย์ไร้ที่ติ หรือใช้กรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้ผู้หญิง ผู้ชาย สวยหล่อได้ดังใจปรารถนาและ3. อิทธิพลของสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์-เรือนร่าง สร้างรูปร่างในอุดมคติของวัยรุ่นขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นนายแบบ นางแบบ ดารา นักร้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ งานวิจัยยังบ่งชี้ด้วยว่า วัยรุ่นมักจะมีภาษาหรือศัพท์แสลง ที่ให้คุณค่าในเชิงลบกับหญิงหรือชายที่มีความบกพร่องทางร่างกายไม่ว่าจะผอม หรืออ้วนจนเกินไป ซึ่งส่วนมากจะนิยมพูดต่อๆ กัน หรือติดมาจากเพื่อน ไม่มีที่มาที่ชัดเจน
เช่น เฟะ = รูปร่างของคนอ้วนมากๆ มีไขมันเป็นชั้นๆ, อึ้ม =ผู้หญิงที่มีหน้าอกโต บางครั้งก็อาจใช้คำทับศัพท์ อย่าง เอ็กซ์ = รูปร่างของผู้หญิงที่มีความเซ็กซ์ซี่ หรือชอบแต่งตัววับๆ แวมๆ, สลิม = ผู้หญิงที่ผอมเพรียว โดยที่ศัพท์เหล่านี้เด็กจะนำมาจากทีวี นิตยสาร หรือละควรซิทคอมของต่างประเทศ นอกจากนี้อาจมีการใช้คำเช่น แบน แห้ง ย้วย แหนม เป็นต้น
วัยรุ่นหญิงไม่พึ่งพอใจรูปร่างสูงมาก
ดร.จุลนี ยังบอกอีกว่า ผลการสอบถามระดับความพึ่งพอใจของแต่ละเพศนั้น ผู้หญิงจะมีความไม่พึงพอใจสูงถึงครึ่งต่อครึ่ง ส่วนผู้ชายมีความไม่พึงพอใจต่ำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่พอใจ พอใจในระดับสูงมีความมั่นใจมาก และไม่พอใจบางส่วน
"ปกติผู้หญิงมักจะไม่พอใจรูปร่างตัวเองส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย และไม่มีความมั่นใจเลย อย่างเด็กหญิงคนหนึ่งบอกว่า หนูเป็นผู้หญิงโครงสร้างใหญ่ สะโพง ต้นขา เอว ใหญ่ทุกอย่างแต่อกเป็นไข่ดาว ส่วนผู้ชายที่ไม่พึงพอใจรูปร่างตัวเองนั้น ส่วนมากอยากมีรูปร่างเป็นแมน สูงใหญ่"ดร.จุลนีอธิบาย
อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดการกับส่วนในร่างกายที่ไม่พึ่งพอใจนั้น ผู้หญิงมักจะใช้วิธีการอดอาหารซึ่งเดี๋ยวนี้เริ่มตั้งแต่เด็กประถมฯ พอระดับมัธยมปลายก็จะเริ่มรับประทานยาถ่าย และจะนิยมใช้ยาลดความอ้วนมากในช่วงที่เป็นนักศึกษา พร้อมกับพัฒนาไปสู้การฝังเข็ม อมอาหารไว้ในปากเพื่อรับรสชาติแล้วจึงคายออก หรือล้วงคอให้อาเจียนออกมา ส่วนในวัยรุ่นชายจะนิยมเล่นกีฬา ออกกำลังกายในโรงยิมหรือศูนย์ออกกำลังกาย (ฟิตเนส) หรือบางคนอาจมีการจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง
เมื่อถามว่าทำไมวัยรุ่นหญิงไม่เล่นกีฬาและวัยรุ่นชายไม่กินยาลดความอ้วนนั้น วัยรุ่นหญิงให้คำตอบว่า ไม่มีเพื่อน หรือไม่ไหวเหนื่อยเกินไป ส่วนผู้ชายบอกว่า มีแต่กระเทยที่กินยาลดความอ้วนซึ่งเป็นเรื่องที่บ่งบอกความแตกต่างในเรื่องเพศอย่างชัดเจน
เรื่องที่น่าวิตกโดยเฉพาะวัยรุ่นหญิง คือ เด็กไม่สามารถหาทางออกได้ จึงเชื่อตามสื่อ ตามเพื่อน นำไปสู่การรับประทานยาลดความอ้วนและวิธีต่างๆ ที่ทำให้ได้รูปร่างตามที่ตนปรารณนาซึ่งผู้ปกครองเองก็จะไม่ทราบต่อเมื่อเด็กมีร่างกายที่ผอมผิดปกติจึงพาไปพบแพทย์

ภัยร้ายหญิงชาย "กลัวอ้วน"
ต่อคำถามที่ว่า อิทธิพลและแรงกดดันของสังคมไทยมีผลต่อผู้หญิงในเรื่องรูปลักษณ์หรือไม่นั้น ดร.จุลนี ไขข้อข้องใจว่า ค่านิยมในสังคมไทยยังให้ความสำคัญกับผู้หญิง ผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม ยิ่งปัจจุบันคนยิ่งมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย นอกจากนี้ค่านิยมในกลุ่มผู้หญิงเองมักมีการเปรียญเทียบรูปร่างตัวเองกับเพื่อน ทำให้เกิดความกดดัน ในขณะที่ผู้ชายไม่สนใจเรื่องนี้เลย
สำหรับผลกระทบของค่านิยมผิดๆ นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว อาจรุนแรงถึงขั้นที่วัยรุ่นไทยเริ่มมีอาการของโรค บูลีเมีย (bulimia)หรือ อะนอเร็กเซีย(anorexic) เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ระบาดในต่างประเทศ ขณะนี้กำลังรุกลามเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งแพทย์หรือตัวเด็กเองยังไม่มีความเข้าใจ เนื่องจากเป็นโรคใหม่ ความรู้ยังไม่แพร่หลาย
นอกจากนี้ดร.จุลนี ยังได้เสนอทางออกของปัญหาว่า ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันทั้งพ่อ-แม่ สื่อ สร้างค่านิยมใหม่ๆ ปลูกฝัง ให้เด็กรู้จักวิธีรักษาสุขภาพให้เหมาะสม เน้นย้ำลักษณะทางเชื้อชาติ และพันธุกรรมของเรา รวมทั้งเปลี่ยนแปลงค่านิยมด้านวัตถุให้หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและจิตใจมากกว่า สิ่งสำคัญคือ สนับสนุน เชิดชู ให้เด็กสร้างความเป็นปัจเจก มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ตามแฟชั่น หรือตามเพื่อนมากเกินไป มีความมั่นใจในรูปร่างตนเอง โดยการสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

รู้จักบูลีเมีย และ อนอเร็กเซีย
บูลีเมีย (Bulimia Nervasa) เป็นลักษณะของคนที่ไม่ผอมมากนัก และมีความกังวล กลัวอ้วน แต่ไม่สามารถที่จะอดอาหารได้ จึงมีพฤติกรรมทานอาหารทีละมากๆ แล้วมีพฤติกรรม การพยายามล้วงคอให้อาเจียน หรือกินยาถ่าย หรือยาระบาย เพื่อให้น้ำหนักลดงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อันตราย ทำให้ร่างกายสูญเสียสมดุล สูญเสียเกลือแร่ในร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้
ส่วน อนอเร็กเซีย(Anorexia Nervasa)เป็นลักษณะของคนไข้ที่ไม่อ้วนแล้ว อาจจะผอมมากแล้ว แต่ก็มักจะคิดว่าตนเองยังอ้วนอยู่ และจะไม่ยอมทานอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตราย อาจทำให้เกิดภาวะการขาดอาหาร โดยอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในบางรายอาจจะพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหม มากจนเกินไป ก็ทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
ขณะที่วัยรุ่นไทยยังมีค่านิยมผิดๆ โดยเฉพาะสื่อ ดารา นักร้อง พยามยามปลูกฝังค่านิยมเหล่านี้ให้ซึมลึกเข้าไปในวัยรุ่นหญิง จนเกิดผลกระทบเรื่องสุขภาพตามมา
ทั้งนี้ มีการจัดสัมมนาเรื่อง "รูปลักษณ์-เรือนร่าง : มุมมองของวัยรุ่นไทย" โดย ดร.จุลนี เทียนไทย อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้สังคมได้ตระหนักถึงพิษภัยค่านิยมผิดๆ ของวัยรุ่นร่วมทั้งร่วมกันหาทางออกและแก้ไขปัญหาร่วมกัน
"ผอมบาง" ค่านิยมสาววัยรุ่นไทย
ดร.จุลนีเปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลเด็กวัยรุ่นชายและหญิงจำนวน 36 คน ช่วงอายุ 16-19 ปี ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย อย่างละ 5 โรง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมีฐานะปานกลาง และค่อนข้างสูง โดยที่ผลการวิจัยระบุว่า ค่านิยมของเด็กสาวสมัยนี้ ต้องการที่จะมีรูปร่างผอมเพรียว สูงประมาณ 168-175 เซนติเมตร ไร้ไขมันส่วนเกิน สมสัดส่วน มีลักษณะเป็นทรงตรง อก เอว สะโพกไม่ต่างกันมาก ซึ่งวัยรุ่นหญิงคิดว่า รูปร่างลักษณะดังกล่าวนี้เป็นรูปร่างของสาวรุ่นใหม่
เด็กหญิงคนหนึ่ง บอกถึงเรือนร่างในอุดมคติว่า "ผู้หญิงจะต้องมีรูปร่าง "ผอม" เพราะจะทำให้สามารถเลือกใส่เสื้อผ้าได้ง่าย ส่วนผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่ อวบๆ หรืออ้วน จะใส่เสื้อผ้าไม่สวย" ซึ่งเด็กที่ต้องการผอมมักมีเรื่องเทรนด์การแต่งตัวตามแฟชั่นตะวันตก หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ฮ่องกง เข้ามาเป็นตัวกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นสายเดี่ยว เกาะอกหรือกระโปรงสั้นๆ จึงสร้างความกดดันนำความผอมมาสู่เรือนร่างอย่างง่ายดาย
ขณะเดียวกันวัยรุ่นชายกลับมองว่า "ผู้หญิงในอุดมคติควรจะมี ส่วนเว้า ส่วนโค้ง ของรูปร่าง ดูแล้วมีสุขภาพดี โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีผิวขาว ผิวพรรณดี จะให้ความรู้สึกสะอาด สนใจดูแลตัวเอง มีคลาส ดูเป็นลูกผู้ดี และหากยิ่งมีหน้าตาเป็นลูกครึ่งก็ยิ่งดีใหญ่ ส่วนค่านิยมของผู้หญิงที่ต้องผอมนั้น วัยรุ่นชายกลับเห็นว่า ผู้หญิงทุกวันนี้มีรูปร่างผอมเกินไป เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ขาเหมือนตะเกียบ ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนคนป่วย
หนุ่มวัยรุ่นไทยต้อง แมน-สมาท-ดูดี
ดร.จุลนีให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับรูปลักษณ์-เรือนร่างของผู้ชายนั้น ทั้งวัยรุ่นชายและหญิงมีภาพในอุดมคติคล้ายคลึงกัน คือ มีรูปร่างที่สูง แข็งแรง โดยเฉลี่ยความสูงอยู่ที่ 175-189 เซนติเมตร กล้ามเนื้อมีความกระชับและอาจมีกล้ามนิดหน่อยเพราะถ้ามีมากเกินไปจะให้ความรู้สึกว่า ผู้ชายคนนั้นมีการศึกษาน้อย ใช้แรงงาน ไม่ฉลาด โบราณ นอกจากนี้ผู้หญิงยังนิยม ผู้ชายที่ดูเป็นสปอร์ตตี้ หรือเป็นนักกีฬา เป็นแมนสามารถปกป้องผู้หญิงได้ มีบุคลิกดี
"จริงๆ แล้วหล่อหรือไม่หล่อไม่สำคัญสำหรับหนู แค่เป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนานก็พอแล้ว"น้องโบว์ หนึ่งในตัวอย่างจากงานวิจัยทอดความรู้สึกของตัวเอง
ดังตัวอย่างที่ยกขึ้นมานั้น ดร.จุลนี อธิบายว่า นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ผู้หญิงยังมองถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปกายและค่านิยม องค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญรวมอยู่ด้วย
"สื่อ" ตัวดีกระตุ้นค่านิยมผิดๆ
ส่วนปัจจัยที่ก่อให้เกิดค่านิยมที่ให้ความสำคัญในเรื่องรูปลักษณ์เรือน-ร่างนั้น เกิดจาก 3 ปัจจัย หลักๆ คือ 1.การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนในปัจจุบันมองว่า ร่างกายเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง 2.การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามรุดหน้ามาก แพทย์สามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายมนุษย์ไร้ที่ติ หรือใช้กรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้ผู้หญิง ผู้ชาย สวยหล่อได้ดังใจปรารถนาและ3. อิทธิพลของสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์-เรือนร่าง สร้างรูปร่างในอุดมคติของวัยรุ่นขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นนายแบบ นางแบบ ดารา นักร้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ งานวิจัยยังบ่งชี้ด้วยว่า วัยรุ่นมักจะมีภาษาหรือศัพท์แสลง ที่ให้คุณค่าในเชิงลบกับหญิงหรือชายที่มีความบกพร่องทางร่างกายไม่ว่าจะผอม หรืออ้วนจนเกินไป ซึ่งส่วนมากจะนิยมพูดต่อๆ กัน หรือติดมาจากเพื่อน ไม่มีที่มาที่ชัดเจน
เช่น เฟะ = รูปร่างของคนอ้วนมากๆ มีไขมันเป็นชั้นๆ, อึ้ม =ผู้หญิงที่มีหน้าอกโต บางครั้งก็อาจใช้คำทับศัพท์ อย่าง เอ็กซ์ = รูปร่างของผู้หญิงที่มีความเซ็กซ์ซี่ หรือชอบแต่งตัววับๆ แวมๆ, สลิม = ผู้หญิงที่ผอมเพรียว โดยที่ศัพท์เหล่านี้เด็กจะนำมาจากทีวี นิตยสาร หรือละควรซิทคอมของต่างประเทศ นอกจากนี้อาจมีการใช้คำเช่น แบน แห้ง ย้วย แหนม เป็นต้น
วัยรุ่นหญิงไม่พึ่งพอใจรูปร่างสูงมาก
ดร.จุลนี ยังบอกอีกว่า ผลการสอบถามระดับความพึ่งพอใจของแต่ละเพศนั้น ผู้หญิงจะมีความไม่พึงพอใจสูงถึงครึ่งต่อครึ่ง ส่วนผู้ชายมีความไม่พึงพอใจต่ำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่พอใจ พอใจในระดับสูงมีความมั่นใจมาก และไม่พอใจบางส่วน
"ปกติผู้หญิงมักจะไม่พอใจรูปร่างตัวเองส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย และไม่มีความมั่นใจเลย อย่างเด็กหญิงคนหนึ่งบอกว่า หนูเป็นผู้หญิงโครงสร้างใหญ่ สะโพง ต้นขา เอว ใหญ่ทุกอย่างแต่อกเป็นไข่ดาว ส่วนผู้ชายที่ไม่พึงพอใจรูปร่างตัวเองนั้น ส่วนมากอยากมีรูปร่างเป็นแมน สูงใหญ่"ดร.จุลนีอธิบาย
อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดการกับส่วนในร่างกายที่ไม่พึ่งพอใจนั้น ผู้หญิงมักจะใช้วิธีการอดอาหารซึ่งเดี๋ยวนี้เริ่มตั้งแต่เด็กประถมฯ พอระดับมัธยมปลายก็จะเริ่มรับประทานยาถ่าย และจะนิยมใช้ยาลดความอ้วนมากในช่วงที่เป็นนักศึกษา พร้อมกับพัฒนาไปสู้การฝังเข็ม อมอาหารไว้ในปากเพื่อรับรสชาติแล้วจึงคายออก หรือล้วงคอให้อาเจียนออกมา ส่วนในวัยรุ่นชายจะนิยมเล่นกีฬา ออกกำลังกายในโรงยิมหรือศูนย์ออกกำลังกาย (ฟิตเนส) หรือบางคนอาจมีการจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง
เมื่อถามว่าทำไมวัยรุ่นหญิงไม่เล่นกีฬาและวัยรุ่นชายไม่กินยาลดความอ้วนนั้น วัยรุ่นหญิงให้คำตอบว่า ไม่มีเพื่อน หรือไม่ไหวเหนื่อยเกินไป ส่วนผู้ชายบอกว่า มีแต่กระเทยที่กินยาลดความอ้วนซึ่งเป็นเรื่องที่บ่งบอกความแตกต่างในเรื่องเพศอย่างชัดเจน
เรื่องที่น่าวิตกโดยเฉพาะวัยรุ่นหญิง คือ เด็กไม่สามารถหาทางออกได้ จึงเชื่อตามสื่อ ตามเพื่อน นำไปสู่การรับประทานยาลดความอ้วนและวิธีต่างๆ ที่ทำให้ได้รูปร่างตามที่ตนปรารณนาซึ่งผู้ปกครองเองก็จะไม่ทราบต่อเมื่อเด็กมีร่างกายที่ผอมผิดปกติจึงพาไปพบแพทย์
ภัยร้ายหญิงชาย "กลัวอ้วน"
ต่อคำถามที่ว่า อิทธิพลและแรงกดดันของสังคมไทยมีผลต่อผู้หญิงในเรื่องรูปลักษณ์หรือไม่นั้น ดร.จุลนี ไขข้อข้องใจว่า ค่านิยมในสังคมไทยยังให้ความสำคัญกับผู้หญิง ผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม ยิ่งปัจจุบันคนยิ่งมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย นอกจากนี้ค่านิยมในกลุ่มผู้หญิงเองมักมีการเปรียญเทียบรูปร่างตัวเองกับเพื่อน ทำให้เกิดความกดดัน ในขณะที่ผู้ชายไม่สนใจเรื่องนี้เลย
สำหรับผลกระทบของค่านิยมผิดๆ นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว อาจรุนแรงถึงขั้นที่วัยรุ่นไทยเริ่มมีอาการของโรค บูลีเมีย (bulimia)หรือ อะนอเร็กเซีย(anorexic) เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ระบาดในต่างประเทศ ขณะนี้กำลังรุกลามเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งแพทย์หรือตัวเด็กเองยังไม่มีความเข้าใจ เนื่องจากเป็นโรคใหม่ ความรู้ยังไม่แพร่หลาย
นอกจากนี้ดร.จุลนี ยังได้เสนอทางออกของปัญหาว่า ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันทั้งพ่อ-แม่ สื่อ สร้างค่านิยมใหม่ๆ ปลูกฝัง ให้เด็กรู้จักวิธีรักษาสุขภาพให้เหมาะสม เน้นย้ำลักษณะทางเชื้อชาติ และพันธุกรรมของเรา รวมทั้งเปลี่ยนแปลงค่านิยมด้านวัตถุให้หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและจิตใจมากกว่า สิ่งสำคัญคือ สนับสนุน เชิดชู ให้เด็กสร้างความเป็นปัจเจก มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ตามแฟชั่น หรือตามเพื่อนมากเกินไป มีความมั่นใจในรูปร่างตนเอง โดยการสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
รู้จักบูลีเมีย และ อนอเร็กเซีย
บูลีเมีย (Bulimia Nervasa) เป็นลักษณะของคนที่ไม่ผอมมากนัก และมีความกังวล กลัวอ้วน แต่ไม่สามารถที่จะอดอาหารได้ จึงมีพฤติกรรมทานอาหารทีละมากๆ แล้วมีพฤติกรรม การพยายามล้วงคอให้อาเจียน หรือกินยาถ่าย หรือยาระบาย เพื่อให้น้ำหนักลดงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อันตราย ทำให้ร่างกายสูญเสียสมดุล สูญเสียเกลือแร่ในร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้
ส่วน อนอเร็กเซีย(Anorexia Nervasa)เป็นลักษณะของคนไข้ที่ไม่อ้วนแล้ว อาจจะผอมมากแล้ว แต่ก็มักจะคิดว่าตนเองยังอ้วนอยู่ และจะไม่ยอมทานอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตราย อาจทำให้เกิดภาวะการขาดอาหาร โดยอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในบางรายอาจจะพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหม มากจนเกินไป ก็ทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน