อ.ก.ค. ไฟเขียวเปิดสอบบรรจุครูเกือบ 6,000 อัตราใน 7 รายวิชา คาดเดือน ก.ย.ดำเนินการได้ รวมทั้งเห็นชอบปรับหลักสูตรการสอบแข่งขันจากเดิมคิดคะแนนรวม 500 คะแนนเหลือเพียง 150 คะแนน ขณะที่องค์กรครูเข้าพบ "อดิศัย" รับฟังนโยบาย พร้อมสะท้อนปัญหาสถานะหลังจากโรงเรียนถูกถ่ายโอนอำนาจไปยัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ห่วงไม่มีการดูแลเรื่องสวัสดิการ
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยผลประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครู (อ.ก.ค.) วิสามัญเกี่ยวกับระบบราชการการสรรหาและประสิทธิภาพของข้าราชการครู ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการเปิดสอบบรรจุข้าราชการครู ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอ ทั้งนี้ได้กำหนดให้มีการเปิดสอบใน 7 วิชา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ฟิสิกส์ ชีววิทยาและเคมีเป็นจำนวน 5,953 อัตรา ขณะเดียวกันทาง สพฐ. ได้ขอขึ้นบัญชีไว้ก่อนจำนวน 532 บัญชีตามสำนักงานเขตพื้นที่ต่าง ๆ เนื่องจากยังไม่ทราบจำนวนครูที่จะบรรจุเป็นข้าราชการในภาพรวมว่าจะมีจำนวนเท่าไร ส่วนการกำหนดวัน เวลาสอบเป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการข้าราชการครู (อ.ก.ค.) สพฐ. จะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือน ก.ย. นี้
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบการเสนอขอปรับหลักสูตรการสอบแข่งขันจากเดิมคิดคะแนนรวม 500 คะแนนเหลือเพียง 150 คะแนนตามที่ สพฐ. เสนอ โดยแบ่งเป็นภาค ก สอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปได้แก่ ส่วนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองและเหตุการณ์ในปัจจุบัน และส่วนที่สองภาษาไทย ระบบการศึกษาไทย พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติปี 2542 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) การปฏิรูปการศึกษา กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษา จำนวน 50 คะแนน ส่วนภาค ข สอบความรู้ความสามารถที่มีเฉพาะตำแหน่ง จำนวน 50 คะแนน และภาค ค สอบสัมภาษณ์ 50 คะแนน รวมทั้งสิ้น 150 คะแนน โดยให้เอาคะแนนทั้ง 3 ส่วนมาคิดรวมกันในครั้งเดียว
สำหรับสนามสอบบรรจุครู โดยแบ่งออกเป็น 7 สนามได้แก่ ภาคกลาง ที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ และพิษณุโลก ภาคใต้ ที่สุราษฎร์ธานี และสงขลา รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นครราชสีมา และอุดรธานี
สำหรับความเคลื่อนไหวอื่นๆ นั้นเมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (25 ส.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้นำองค์กรครู ประกอบด้วยผู้แทนจากสภามนตรีสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (สคท.) สมาพันธ์ครูภาคเหนือ ชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชมรมครูภาคกลาง และสมาพันธ์ครูภาคใต้ เข้าพบนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อรับฟังนโยบาย แนวคิด แนวปฏิบัติและสะท้อนปัญหาต่อรมว.ศธ.
นายถวิล น้อยเขียว ประธาน สคท. กล่าวว่า เข้าใจดีว่าตามนโยบายรัฐ และ ศธ. มีความต้องการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ โดยมีเรื่องของวิทยฐานะ เงินเดือนเงินประจำตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันหากทางโรงเรียนถูกถ่ายโอนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับข้าราชการครูเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากเมื่อไปอยู่กับ อปท. แล้วสถานะจะเปลี่ยนจากข้าราชการเป็นพนักงานไป ซึ่งในเรื่องนี้ยังคงเป็นความกังวลของข้าราชการครูเป็นจำนวนมาก เพราะยังขาดความชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ในปีการศึกษาหน้าจะมีการถ่ายโอนแล้ว
"ส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่ถ่ายโอนกระจายอำนาจในส่วนนี้ รวมทั้งทุกวันนี้โรงเรียนต้องทำเรื่องเอกสารจำนวนมาก จนกระทบต่อการเรียนการสอน จึงอยากฝากในเรื่องดังกล่าวด้วย"
ด้านนายอดิศัย กล่าวระหว่างการพบกับกลุ่มผู้นำองค์กรครูว่า ไม่อยากให้ครูเป็นกังวลในเรื่องของการถ่ายโอน ไม่ต้องกลัวว่าเข้าไปอยู่กับ อปท. แล้วจะขาดความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของครูยังต้องมีอยู่ สามารถอยู่ได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการราชการ ขอให้กลับไปดูกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนอำนาจแล้วจะเกิดความเข้าใจมากขึ้น และหน้าที่ของผู้นำองค์กรครูต่าง ๆ ควรจะประสานความเข้าใจ
ทั้งนี้ การถ่ายโอนนั้นต้องการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับการจ้างบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นนักศึกษาที่จบใหม่ เข้ามาทำหน้าที่งานธุรการของโรงเรียน เพื่อลดงานของครูและให้ครูมีหน้าที่การสอนอย่างเต็มที่
"เราพยายามลดงานของครู ยิ่งโรงเรียนเล็กยิ่งลำบากหากต้องมานั่งดูแลเรื่องงานเอกสารต่าง ๆ เพราะบางอย่างทาง ผอ.โรงเรียนหรืออาจารย์ใหญ่ก็อาจจะทำได้เอง ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับการร้องเรียนเข้ามามากทั้งจากอีเมล์ จดหมาย คิดว่าครูไม่ควรมานั่งเสียเวลากับการทำงานด้านเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตอบจดหมายให้กับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือการสำรวจตรวจสอบอะไรก็ตาม แต่การจะให้มีการจ้างเจ้าหน้าที่เข้ามาทำหน้าที่ธุรการนั้นยังเป็นเพียงแนวคิดอยู่ คาดว่าคงต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งนอกจากจะใช้กับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว อาจจะรวมไปถึงโรงเรียนขนาดใหญ่ด้วยก็ได้" นายอดิศัย กล่าว
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยผลประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครู (อ.ก.ค.) วิสามัญเกี่ยวกับระบบราชการการสรรหาและประสิทธิภาพของข้าราชการครู ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการเปิดสอบบรรจุข้าราชการครู ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอ ทั้งนี้ได้กำหนดให้มีการเปิดสอบใน 7 วิชา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ฟิสิกส์ ชีววิทยาและเคมีเป็นจำนวน 5,953 อัตรา ขณะเดียวกันทาง สพฐ. ได้ขอขึ้นบัญชีไว้ก่อนจำนวน 532 บัญชีตามสำนักงานเขตพื้นที่ต่าง ๆ เนื่องจากยังไม่ทราบจำนวนครูที่จะบรรจุเป็นข้าราชการในภาพรวมว่าจะมีจำนวนเท่าไร ส่วนการกำหนดวัน เวลาสอบเป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการข้าราชการครู (อ.ก.ค.) สพฐ. จะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือน ก.ย. นี้
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบการเสนอขอปรับหลักสูตรการสอบแข่งขันจากเดิมคิดคะแนนรวม 500 คะแนนเหลือเพียง 150 คะแนนตามที่ สพฐ. เสนอ โดยแบ่งเป็นภาค ก สอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปได้แก่ ส่วนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองและเหตุการณ์ในปัจจุบัน และส่วนที่สองภาษาไทย ระบบการศึกษาไทย พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติปี 2542 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) การปฏิรูปการศึกษา กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษา จำนวน 50 คะแนน ส่วนภาค ข สอบความรู้ความสามารถที่มีเฉพาะตำแหน่ง จำนวน 50 คะแนน และภาค ค สอบสัมภาษณ์ 50 คะแนน รวมทั้งสิ้น 150 คะแนน โดยให้เอาคะแนนทั้ง 3 ส่วนมาคิดรวมกันในครั้งเดียว
สำหรับสนามสอบบรรจุครู โดยแบ่งออกเป็น 7 สนามได้แก่ ภาคกลาง ที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ และพิษณุโลก ภาคใต้ ที่สุราษฎร์ธานี และสงขลา รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นครราชสีมา และอุดรธานี
สำหรับความเคลื่อนไหวอื่นๆ นั้นเมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (25 ส.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้นำองค์กรครู ประกอบด้วยผู้แทนจากสภามนตรีสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (สคท.) สมาพันธ์ครูภาคเหนือ ชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชมรมครูภาคกลาง และสมาพันธ์ครูภาคใต้ เข้าพบนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อรับฟังนโยบาย แนวคิด แนวปฏิบัติและสะท้อนปัญหาต่อรมว.ศธ.
นายถวิล น้อยเขียว ประธาน สคท. กล่าวว่า เข้าใจดีว่าตามนโยบายรัฐ และ ศธ. มีความต้องการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ โดยมีเรื่องของวิทยฐานะ เงินเดือนเงินประจำตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันหากทางโรงเรียนถูกถ่ายโอนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับข้าราชการครูเหล่านี้หรือไม่ เนื่องจากเมื่อไปอยู่กับ อปท. แล้วสถานะจะเปลี่ยนจากข้าราชการเป็นพนักงานไป ซึ่งในเรื่องนี้ยังคงเป็นความกังวลของข้าราชการครูเป็นจำนวนมาก เพราะยังขาดความชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ในปีการศึกษาหน้าจะมีการถ่ายโอนแล้ว
"ส่วนตัวเห็นด้วยกับการที่ถ่ายโอนกระจายอำนาจในส่วนนี้ รวมทั้งทุกวันนี้โรงเรียนต้องทำเรื่องเอกสารจำนวนมาก จนกระทบต่อการเรียนการสอน จึงอยากฝากในเรื่องดังกล่าวด้วย"
ด้านนายอดิศัย กล่าวระหว่างการพบกับกลุ่มผู้นำองค์กรครูว่า ไม่อยากให้ครูเป็นกังวลในเรื่องของการถ่ายโอน ไม่ต้องกลัวว่าเข้าไปอยู่กับ อปท. แล้วจะขาดความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของครูยังต้องมีอยู่ สามารถอยู่ได้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการราชการ ขอให้กลับไปดูกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนอำนาจแล้วจะเกิดความเข้าใจมากขึ้น และหน้าที่ของผู้นำองค์กรครูต่าง ๆ ควรจะประสานความเข้าใจ
ทั้งนี้ การถ่ายโอนนั้นต้องการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับการจ้างบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นนักศึกษาที่จบใหม่ เข้ามาทำหน้าที่งานธุรการของโรงเรียน เพื่อลดงานของครูและให้ครูมีหน้าที่การสอนอย่างเต็มที่
"เราพยายามลดงานของครู ยิ่งโรงเรียนเล็กยิ่งลำบากหากต้องมานั่งดูแลเรื่องงานเอกสารต่าง ๆ เพราะบางอย่างทาง ผอ.โรงเรียนหรืออาจารย์ใหญ่ก็อาจจะทำได้เอง ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับการร้องเรียนเข้ามามากทั้งจากอีเมล์ จดหมาย คิดว่าครูไม่ควรมานั่งเสียเวลากับการทำงานด้านเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตอบจดหมายให้กับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือการสำรวจตรวจสอบอะไรก็ตาม แต่การจะให้มีการจ้างเจ้าหน้าที่เข้ามาทำหน้าที่ธุรการนั้นยังเป็นเพียงแนวคิดอยู่ คาดว่าคงต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งนอกจากจะใช้กับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว อาจจะรวมไปถึงโรงเรียนขนาดใหญ่ด้วยก็ได้" นายอดิศัย กล่าว