ภาพคนสูงวัยเคลื่อนไหวด้วยท่าทีอันสั่นเทา หยิบจับสิ่งของคล้ายคนอ่อนเรี่ยวแรง หรือแม้แต่ยามก้าวเดินก็เขย่งซ้ายทีขวาที ครั้นจะนั่งแข้งขาก็กระตุก ไม่ก็แกว่งไปมา ดูจะเป็นภาพชินตาและคาดคะเนว่าผู้นั้นเข้าสู่วัยชราเข้าแล้วเต็มตัว
หากแต่พินิจดูกันอีกที ในวงการแพทย์ถือว่านี่คืออาการที่เข้าข่าย โรคพาร์กินสัน ที่แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อที่ร้ายแรงแต่ก็บั่นทอนสุขภาพของผู้ที่เป็นได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิตที่เกิดจากการทำมาหากินไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน หรือเข้าสังคมก็ถูกมองเป็นตัวตลกหรือดูคล้ายคนพิกลพิการไป เป็นเหตุให้ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่อยากที่จะไปสุงสิงกับใครด้วยความอายสังขารที่ยากต่อการควบคุมนี้
ศ.คลินิก น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลว่าแต่ก่อนแต่ไร ใครที่เป็นโรคนี้มีทางแก้ทางเดียวคือการรับประทานยา เป็นหนักก็รับประทานมากมื้อ เพื่อทดแทน "สารโดปามีน" ที่ถูกทำลายไปเพราะการตายของเซลล์สมอง ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำหน้าที่นำสัญญาณประสาทชนิดหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติในเรื่องการเคลื่อนไหว ที่เห็นได้ชัดจะมีอยู่ 4 อาการ คือ มีอาการมือ แขน ขา สั่นเทาตลอดเวลา เดินช้าตัวเกร็ง เคลื่อนไหวเชื่องช้า และการทรงตัวที่ไม่ดี เดินไปมาอาจพลาดท่าล้ม
"แต่ในรายที่เป็นมานานจนเข้าขั้นระยะท้าย อาการจะหนักขึ้น ทรมานมาก ยาก็ไม่สามารถเอาอยู่แล้ว มีทางแก้ทางเดียว คือ การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมอง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโรงเรียนแพทย์ไทย เพราะการผ่าตัดนี้จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นสุข"
อย่างไรก็ตาม คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ได้กล่าวถึงบุคลากรที่จะทำการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า การผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคพาร์กินสันไม่สามารถทำได้โดยแพทย์เฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของคณะแพทย์จากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น ประสาทศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ศัลยแพทย์สมอง ประสาทอายุรแพทย์ ประสาทสรีรแพทย์ นักประสาทจิตวิทยา และประสาทรังสีแพทย์ พยาบาลที่เชี่ยวชาญโรคพาร์คินสัน กายภาพบำบัด เป็นต้น และแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของทางโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี มีการประสานการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ และถือว่ามีความเชี่ยวชาญมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียในขณะนี้
“แม้ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง แต่เป็นความมุ่งมั่นของศิริราชพยาบาล ที่จะพัฒนาวิชาการให้ก้าวหน้าตามพระราชปณิธานพระบรมราชชนกผู้พระราชทานกำเนิดศิริราชพยาบาล เมื่อ 116 ปีที่แล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่า วงการแพทย์มีความก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขันในระดับเอเชีย นอกเหนือจากการให้บริการคนไทยแล้ว ยังมีขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยต่างชาติได้ด้วย”
ด้าน ศ.นพ. นิพนธ์ พวงวรินทร์ หัวหน้าสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ เผยถึงอัตราความชุกของโรคนี้อยู่ที่ 1 รายต่อประชาชน 1,000 คน มักเกิดในช่วงอายุ 60-65 ปี แต่หากมีอายุมากขึ้นอัตราการเกิดก็พบได้ถี่ขึ้น เช่น อายุ 70 ปีเป็น 1 ใน 10 ,อายุ 80 ปี เป็น1 ใน 5 ,อายุ 90 ปี เป็น 1 ใน 2 เป็นต้น
"ก่อนผ่าตัดสิ่งที่ต้องทำคือการพิจารณาความเหมาะสมของทุกๆ ด้านก่อน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจ ความมุ่งหวังหลังการผ่าตัด รูปแบบการดำรงชีพ สภาพร่างกาย เป็นต้น เพราะเนื่องจากค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงพอสมควร คือประมาณ 800,000 กว่าบาท ต่อคน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการจากหลายสาขาเป็นผู้พิจารณาร่วมกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยพาร์คินสันในระยะสุดท้าย ป่วยมากกว่า 10 ปี ร่างกายดื้อยาที่รับประทาน”
สำหรับผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด น.พ.ศรันย์ นันทอารี สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลการผ่าตัดที่ผ่านมาไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ ทั้งในไทยและต่างชาติ หากจะมีก็เป็นเพียงผลข้างเคียงจากการผ่าตัดเท่านั้น
"การผ่าตัดชนิดนี้เรียกว่า การทำ Deep Brain Stimulation โดยฉีดยาชาที่ศีรษะและเจาะรูเล็ก ๆ ที่กะโหลกศีรษะของผู้ป่วย 2 ข้าง แล้วสอดสายขั้วไฟฟ้า ซึ่งมีขนาดเล็กมากเข้าไปในสมองส่วนที่เรียกว่า ซับทาลามิคนิวเคลียส จากนั้น แพทย์จะดมยาให้ผู้ป่วยสลบเพื่อฝังก้อนแบตเตอรี่ใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอกด้านขวา นำไปเชื่อมต่อเป็นวงจรเข้ากับขั้วไฟฟ้าที่ฝังในสมอง กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ช่วยแก้ไขการทำงานของสมอง ซึ่งมีการผ่าตัดกันทั่วโลกไปแล้ว 1,000 กว่ารายพบว่าได้ผลดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาแล้ว หลังผ่าตัดพบว่าอาการสั่นดีขึ้น รวมถึงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ส่วนการเคลื่อนไหวก็คล่องตัวขึ้น หากจะต้องรับยาก็อยู่ในอัตราที่น้อยลง เช่นจากวันละ 8 มื้อก็เหลือ 4 มื้อ หรือในบางรายก็งดไปเลย"
ขณะที่ น.พ.อภิชาติ พิศาลพงษ์ อายุรแพทย์ระบบประสาท เผยว่า ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดค่อนข้างสูง เฉพาะแบตเตอรี่ที่ฝังใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอกราคา 800,000 บาท สายขั้วไฟฟ้าประมาณ 20,000 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในต่างประเทศแถบยุโรป สิ้นค่าใช้จ่ายรายละ 3.5 ล้านบาท โดยเครื่องนี้มีอายุการใช้งานได้นานถึง 5 ปี แต่หากมีการรักษาและพักเครื่องบ้างเป็นระยะก็อาจจะใช้ได้นานขึ้น อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เป็นโรคนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ควรจะได้รับการดูแลอาการของแพทย์อย่างต่อเนื่อง เว้นเสียจากอยู่ในระยะที่รุนแรงมากจึงสมควรได้รับการผ่าตัด
สำหรับการผ่าตัดนี้ใช้ครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ 8 ปีที่แล้ว และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ให้การรับรองเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือว่าเป็นเทคนิคใหม่ที่สุดในการรักษาผู้ป่วยพาร์คินสัน
ผู้ป่วย 2 รายแรกที่ผ่าตัดสำเร็จ
นายรังสรรค์ พุกกะเวส อาชีพทนายความ กล่าวว่า ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นโรคพาร์คินสัน ญาติเห็นนิ้วมือสั่นจึงให้มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแพทย์ผู้รักษาบอกว่า ตนเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุ 34 ปี กินยามาตลอดจนอาการระยะสุดท้าย แพทย์บอกให้รู้ว่ามีการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดจึงสนใจขอเข้ารับการรักษา เนื่องจากความหวังว่าจะหายมีน้อย ไม่มีอะไรเสียอีกแล้ว ปัจจุบันอายุ 53 ปี หลังการผ่าตัดคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก ทั้งแขนและขาสั่นลดลง ไม่เกร็ง เดินสะดวกทรงตัวดีขึ้น
“โรคพาร์คินสัน ทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก เหมือนตัวประหลาด เดินไปตลาดคนก็มองว่าทำไมเราสั่นไปทั้งตัว คนเขามองว่าเราเป็นตัวอะไร แต่พอผ่าตัดพักฟื้น 1 เดือน หมอเปิดเดินเครื่องกระตุ้น เราดีขึ้น ชีวิตเราดีขึ้น ขอบคุณอาจารย์แพทย์ทุกคนที่มีส่วนรักษาและผ่าตัดครั้งนี้” นายรังสรรค์ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.สยาม ผลทรัพย์ หนึ่งในคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคพาร์คินสัน กล่าวว่า เป็นโรคนี้เมื่ออายุ 42 ปี ปัจจุบันอายุ 56 ปี เริ่มรักษาด้วยการกินยา คิดว่าคงไม่มีทางหาย เมื่อมีวิธีรักษาแบบใหม่จึงตัดสินใจรับการผ่าตัด ทำให้คุณภาพชีวิตตนดีขึ้น ผู้ป่วยพาร์คินสันทุกข์ทรมานมาก แต่ก่อนแขนและขาจะแกว่งตลอดเวลา อยากให้ผู้ป่วยพาร์คินสัน มีกำลังใจ หากกินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นลองปรึกษาแพทย์เข้ารับการผ่าตัด แม้ค่าใช้จ่ายจะแพง แต่ก็คุ้มค่า ชีวิตดีขึ้นมากหลังการผ่าตัด แขนขาแกว่งน้อยลงมาก
อย่างไรก็ตาม ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล กล่าวย้ำว่า ปีนี้ศิริราชพยาบาล จะผ่าตัดช่วยเหลือคนไข้ที่ยากจนอีก 20 ราย นำเงินที่ได้รับการบริจาคมาเป็นค่าใช้จ่าย มีคณะกรรมการพิจารณาอย่างโปร่งใส คำนึงถึงข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นสำคัญ ขอให้ผู้ป่วยพาร์คินสันทั่วประเทศปรึกษาแพทย์ผู้รักษา ว่าตนเองมีข้อบ่งชี้สมควรได้รับการผ่าตัดหรือไม่ ศิริราชพยาบาลพร้อมในการผ่าตัดรักษาพาร์คินสัน เพื่อความเป็นหนึ่งของประเทศไทยในการแข่งขันระดับเอเชีย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คลินิคโรคพาร์กินสัน โทร. 0-2149-7101-2
โรคพาร์กินสัน (Parkinson) คืออะไร
หากแต่พินิจดูกันอีกที ในวงการแพทย์ถือว่านี่คืออาการที่เข้าข่าย โรคพาร์กินสัน ที่แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อที่ร้ายแรงแต่ก็บั่นทอนสุขภาพของผู้ที่เป็นได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิตที่เกิดจากการทำมาหากินไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน หรือเข้าสังคมก็ถูกมองเป็นตัวตลกหรือดูคล้ายคนพิกลพิการไป เป็นเหตุให้ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่อยากที่จะไปสุงสิงกับใครด้วยความอายสังขารที่ยากต่อการควบคุมนี้
ศ.คลินิก น.พ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้ข้อมูลว่าแต่ก่อนแต่ไร ใครที่เป็นโรคนี้มีทางแก้ทางเดียวคือการรับประทานยา เป็นหนักก็รับประทานมากมื้อ เพื่อทดแทน "สารโดปามีน" ที่ถูกทำลายไปเพราะการตายของเซลล์สมอง ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำหน้าที่นำสัญญาณประสาทชนิดหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติในเรื่องการเคลื่อนไหว ที่เห็นได้ชัดจะมีอยู่ 4 อาการ คือ มีอาการมือ แขน ขา สั่นเทาตลอดเวลา เดินช้าตัวเกร็ง เคลื่อนไหวเชื่องช้า และการทรงตัวที่ไม่ดี เดินไปมาอาจพลาดท่าล้ม
"แต่ในรายที่เป็นมานานจนเข้าขั้นระยะท้าย อาการจะหนักขึ้น ทรมานมาก ยาก็ไม่สามารถเอาอยู่แล้ว มีทางแก้ทางเดียว คือ การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมอง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโรงเรียนแพทย์ไทย เพราะการผ่าตัดนี้จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นสุข"
อย่างไรก็ตาม คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ได้กล่าวถึงบุคลากรที่จะทำการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า การผ่าตัดเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคพาร์กินสันไม่สามารถทำได้โดยแพทย์เฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของคณะแพทย์จากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น ประสาทศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ศัลยแพทย์สมอง ประสาทอายุรแพทย์ ประสาทสรีรแพทย์ นักประสาทจิตวิทยา และประสาทรังสีแพทย์ พยาบาลที่เชี่ยวชาญโรคพาร์คินสัน กายภาพบำบัด เป็นต้น และแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของทางโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี มีการประสานการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ และถือว่ามีความเชี่ยวชาญมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียในขณะนี้
“แม้ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง แต่เป็นความมุ่งมั่นของศิริราชพยาบาล ที่จะพัฒนาวิชาการให้ก้าวหน้าตามพระราชปณิธานพระบรมราชชนกผู้พระราชทานกำเนิดศิริราชพยาบาล เมื่อ 116 ปีที่แล้ว เป็นการแสดงให้เห็นว่า วงการแพทย์มีความก้าวหน้า พร้อมที่จะแข่งขันในระดับเอเชีย นอกเหนือจากการให้บริการคนไทยแล้ว ยังมีขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยต่างชาติได้ด้วย”
ด้าน ศ.นพ. นิพนธ์ พวงวรินทร์ หัวหน้าสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ เผยถึงอัตราความชุกของโรคนี้อยู่ที่ 1 รายต่อประชาชน 1,000 คน มักเกิดในช่วงอายุ 60-65 ปี แต่หากมีอายุมากขึ้นอัตราการเกิดก็พบได้ถี่ขึ้น เช่น อายุ 70 ปีเป็น 1 ใน 10 ,อายุ 80 ปี เป็น1 ใน 5 ,อายุ 90 ปี เป็น 1 ใน 2 เป็นต้น
"ก่อนผ่าตัดสิ่งที่ต้องทำคือการพิจารณาความเหมาะสมของทุกๆ ด้านก่อน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจ ความมุ่งหวังหลังการผ่าตัด รูปแบบการดำรงชีพ สภาพร่างกาย เป็นต้น เพราะเนื่องจากค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงพอสมควร คือประมาณ 800,000 กว่าบาท ต่อคน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการจากหลายสาขาเป็นผู้พิจารณาร่วมกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยพาร์คินสันในระยะสุดท้าย ป่วยมากกว่า 10 ปี ร่างกายดื้อยาที่รับประทาน”
สำหรับผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด น.พ.ศรันย์ นันทอารี สาขาประสาทศัลยศาสตร์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลการผ่าตัดที่ผ่านมาไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ ทั้งในไทยและต่างชาติ หากจะมีก็เป็นเพียงผลข้างเคียงจากการผ่าตัดเท่านั้น
"การผ่าตัดชนิดนี้เรียกว่า การทำ Deep Brain Stimulation โดยฉีดยาชาที่ศีรษะและเจาะรูเล็ก ๆ ที่กะโหลกศีรษะของผู้ป่วย 2 ข้าง แล้วสอดสายขั้วไฟฟ้า ซึ่งมีขนาดเล็กมากเข้าไปในสมองส่วนที่เรียกว่า ซับทาลามิคนิวเคลียส จากนั้น แพทย์จะดมยาให้ผู้ป่วยสลบเพื่อฝังก้อนแบตเตอรี่ใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอกด้านขวา นำไปเชื่อมต่อเป็นวงจรเข้ากับขั้วไฟฟ้าที่ฝังในสมอง กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ช่วยแก้ไขการทำงานของสมอง ซึ่งมีการผ่าตัดกันทั่วโลกไปแล้ว 1,000 กว่ารายพบว่าได้ผลดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยระยะรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาแล้ว หลังผ่าตัดพบว่าอาการสั่นดีขึ้น รวมถึงการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ส่วนการเคลื่อนไหวก็คล่องตัวขึ้น หากจะต้องรับยาก็อยู่ในอัตราที่น้อยลง เช่นจากวันละ 8 มื้อก็เหลือ 4 มื้อ หรือในบางรายก็งดไปเลย"
ขณะที่ น.พ.อภิชาติ พิศาลพงษ์ อายุรแพทย์ระบบประสาท เผยว่า ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดค่อนข้างสูง เฉพาะแบตเตอรี่ที่ฝังใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอกราคา 800,000 บาท สายขั้วไฟฟ้าประมาณ 20,000 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในต่างประเทศแถบยุโรป สิ้นค่าใช้จ่ายรายละ 3.5 ล้านบาท โดยเครื่องนี้มีอายุการใช้งานได้นานถึง 5 ปี แต่หากมีการรักษาและพักเครื่องบ้างเป็นระยะก็อาจจะใช้ได้นานขึ้น อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เป็นโรคนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ควรจะได้รับการดูแลอาการของแพทย์อย่างต่อเนื่อง เว้นเสียจากอยู่ในระยะที่รุนแรงมากจึงสมควรได้รับการผ่าตัด
สำหรับการผ่าตัดนี้ใช้ครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ 8 ปีที่แล้ว และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ให้การรับรองเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันถือว่าเป็นเทคนิคใหม่ที่สุดในการรักษาผู้ป่วยพาร์คินสัน
ผู้ป่วย 2 รายแรกที่ผ่าตัดสำเร็จ
นายรังสรรค์ พุกกะเวส อาชีพทนายความ กล่าวว่า ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นโรคพาร์คินสัน ญาติเห็นนิ้วมือสั่นจึงให้มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแพทย์ผู้รักษาบอกว่า ตนเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุ 34 ปี กินยามาตลอดจนอาการระยะสุดท้าย แพทย์บอกให้รู้ว่ามีการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดจึงสนใจขอเข้ารับการรักษา เนื่องจากความหวังว่าจะหายมีน้อย ไม่มีอะไรเสียอีกแล้ว ปัจจุบันอายุ 53 ปี หลังการผ่าตัดคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก ทั้งแขนและขาสั่นลดลง ไม่เกร็ง เดินสะดวกทรงตัวดีขึ้น
“โรคพาร์คินสัน ทำให้การดำรงชีวิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก เหมือนตัวประหลาด เดินไปตลาดคนก็มองว่าทำไมเราสั่นไปทั้งตัว คนเขามองว่าเราเป็นตัวอะไร แต่พอผ่าตัดพักฟื้น 1 เดือน หมอเปิดเดินเครื่องกระตุ้น เราดีขึ้น ชีวิตเราดีขึ้น ขอบคุณอาจารย์แพทย์ทุกคนที่มีส่วนรักษาและผ่าตัดครั้งนี้” นายรังสรรค์ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.สยาม ผลทรัพย์ หนึ่งในคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคพาร์คินสัน กล่าวว่า เป็นโรคนี้เมื่ออายุ 42 ปี ปัจจุบันอายุ 56 ปี เริ่มรักษาด้วยการกินยา คิดว่าคงไม่มีทางหาย เมื่อมีวิธีรักษาแบบใหม่จึงตัดสินใจรับการผ่าตัด ทำให้คุณภาพชีวิตตนดีขึ้น ผู้ป่วยพาร์คินสันทุกข์ทรมานมาก แต่ก่อนแขนและขาจะแกว่งตลอดเวลา อยากให้ผู้ป่วยพาร์คินสัน มีกำลังใจ หากกินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นลองปรึกษาแพทย์เข้ารับการผ่าตัด แม้ค่าใช้จ่ายจะแพง แต่ก็คุ้มค่า ชีวิตดีขึ้นมากหลังการผ่าตัด แขนขาแกว่งน้อยลงมาก
อย่างไรก็ตาม ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล กล่าวย้ำว่า ปีนี้ศิริราชพยาบาล จะผ่าตัดช่วยเหลือคนไข้ที่ยากจนอีก 20 ราย นำเงินที่ได้รับการบริจาคมาเป็นค่าใช้จ่าย มีคณะกรรมการพิจารณาอย่างโปร่งใส คำนึงถึงข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เป็นสำคัญ ขอให้ผู้ป่วยพาร์คินสันทั่วประเทศปรึกษาแพทย์ผู้รักษา ว่าตนเองมีข้อบ่งชี้สมควรได้รับการผ่าตัดหรือไม่ ศิริราชพยาบาลพร้อมในการผ่าตัดรักษาพาร์คินสัน เพื่อความเป็นหนึ่งของประเทศไทยในการแข่งขันระดับเอเชีย
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คลินิคโรคพาร์กินสัน โทร. 0-2149-7101-2
โรคพาร์กินสัน (Parkinson) คืออะไร
