เมืองไทย 360 องศา
ภาพการเมืองทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันแล้วว่า จะมีสองขั้วชัดเจนคือ หนึ่งฝ่ายพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ และมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กับพรรคประชาชน ที่มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นแกนนำ ขณะเดียวกัน จะมีพรรคเพื่อไทย เป็น “ตัวแปรหลัก” ตามมาด้วย พรรคกล้าธรรม กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องแย่งกันเป็น “ตัวแปรรอง”
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ต้องบอกว่าพรรคภูมิใจไทย ยังถือว่าเป็น “เต็งหนึ่ง” และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังมีโอกาสได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ เหนือกว่าโอกาสของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จากพรรคประชาชน ด้วยเหตุผลและปัจจัยที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่า ด้วยสถานะที่ยังเป็น นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลรักษาการ ของนายอนุทิน ย่อมได้เปรียบในเรื่องของอำนาจรัฐ และที่สำคัญมองข้ามไม่ได้ก็คือ ความรู้สึกที่สะท้อนออกมาว่า ส่วนใหญ่มองเห็นว่านายอนุทิน และพรรคภูมิไทย จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าสำคัญ เนื่องจากทำให้บรรดาข้าราชการทั้งในพื้นที่ และส่วนกลางมีการขยับ พร้อมที่จะสนองตอบมากกว่าเกียร์ว่างแน่นอน เพราะย่อม“เล็งเห็นผล”ข้างหน้านั่นเอง
ขณะเดียวกัน ด้วยบรรยากาศ “รักชาติ” ความรู้สึก “รักทหาร” ของสังคมไทยเวลานี้ หลังจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เพิ่งตกลงหยุดยิงกันไป พร้อมกับการที่ทหารไทยสามารถยึดคืนพื้นที่กลับมาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในพื้นที่ “ยุทธศาสตร์” สำคัญที่เราได้กลับมา บางพื้นที่ยังได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ซึ่งภาพเหล่านี้ ย่อมต้องเป็น “ผลบวก” กับ นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ พรรคประชาชนอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทย ที่เคยเป็น “หลานอังเคิล” ก่อนหน้านี้ไปเลย
แต่สิ่งที่ให้จับตาก็คือ ระบบ “บ้านใหญ่” ที่ไหลเข้ามาเติมในพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหากพิจารณาจาก“แบ็กกราวด์” และสถิติ ความแน่นอนแล้ว อยู่ในระดับความมั่นใจได้ และการทุ่มเทให้น้ำหนักก็จะแตกต่างกัน โดยเวลานี้ให้จับตา “ดีลพิเศษ” กับกลุ่ม “บ้านใหญ่สุพรรณฯ” ที่เป็นกลุ่มพรรคชาติไทยพัฒนาเดิม นำโดยนายวราวุธ ศิลปอาชา จะเห็นว่า นายอนุทินเดินทางไปเปิดตัวถึงถิ่น “บรรหารบุรี” กันเลยทีเดียว ขณะเดียวกันยังลงพื้นที่ ให้กำลังใจและให้คำมั่นสัญญาในกลุ่มบ้านใหญ่ “สะสมทรัพย์” กันถึงจังหวัดนครปฐม
นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาจากลำดับบัญชีผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทย ปรากฏว่า นายวราวุธ ยังอยู่ในลำดับที่ 3 ที่อยู่เหนือกว่าแกนนำของพรรคหลายคน และถือว่าอยู่ในระดับปลอดภัย สำหรับขนาดของพรรคในปัจจุบัน
“ท่านใจเด็ดขนาดไหน ท่านเชื่อมั่นในการทำงานระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคของท่าน ท่านถึงยกมาให้ทั้งพรรคเลย เพราะฉะนั้นพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องแสดงให้ท่านเห็นถึงการยินดีต้อนรับ และความคาดหวังที่พวกเราทุกคนจะมารับใช้ประเทศไทย และพี่น้องชาวไทยทุกคน นี่แสดงให้เห็นว่าพูดแล้วทำ” นายอนุทิน กล่าว เมื่อถูกถามเรื่องบัญชีบัญชีรายชื่อ ของพรรคว่า ทำไมนายวราวุธ อยู่ในลำดับที่ 3
เมื่อถามว่า วันนี้มาที่ จ.สุพรรณฯ เราได้เห็นกับตาไหมว่าจากสีชมพูมาเป็นสีน้ำเงิน แรงกระเพื่อมในพื้นที่เป็นอย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า สีชมพูแสดงถึงอะไร ความรัก สีน้ำเงินแสดงถึงสถาบัน ชมพูบวกน้ำเงินพี่น้องประชาชนชาวไทยคงมีความมั่นใจสบายใจว่าพวกเราทุกคนมีความรักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยความชัดเจน
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะสามารถคว้าชัย เหมือนตอนที่เป็นชาติไทยพัฒนา หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พวกเราพูดได้อย่างเดียวว่า พวกเราจะทุ่มเท และทำงานนำเสนอนโยบายให้พี่น้องประชาชนให้เกิดความมั่นใจ และเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ส่วนความเมตตาของประชาชนต้องขึ้นอยู่กับท่าน เราก็ต้องพยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่า สิ่งที่เราพูดไปทุกอย่างที่เราสัญญา ทุกอย่างมัน มันนำไปสู่การปฏิบัติและความสำเร็จ
รวมไปถึง “บ้านใหญ่อยุธยา” ของครอบครัว “พันธ์เจริญวรกุล” ที่ นายอนุทิน พร้อมคณะชุดใหญ่เดินทางมาให้กำลังใจผู้สมัครของพรรค ที่คาดหวังว่าครั้งนี้จะกวาดทั้ง 5 เขต จากที่คราวที่แล้ว พรรคได้ 3 ที่นั่ง จาก 5 ที่นั่ง และจองเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รองหัวหน้าพรรค ที่คราวนี้เป็นหัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้งที่ จังหวัดอยุธยาด้วย
นั่นคือ ภาพตัวอย่างของ “บ้านใหญ่” ที่พรรคภูมิใจไทย “เน้นเป็นพิเศษ” ซึ่งแน่นอนว่า ยังมีแบบนี้อีกหลายจังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น อีสาน เหนือ ใต้ กลาง ออก ตก ที่ต้องเน้นความชัวร์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ว่ามีการประเมินกันว่า การเลือกตั้งหนนี้ “กระแส”จะกลายเป็นเรื่องหลัก แต่เท่าที่มองเห็นในตอนนี้ ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าจะมีพรรคไหน หรือว่า ผู้นำพรรคการเมืองคนไหน “แรง” ถึงขั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ทุกพรรคที่เป็นแกนหลักล้วนจะเป็นลักษณะใกล้เคียงกัน ทำให้มั่นใจได้เลยว่าหลังการเลือกตั้งจะได้รัฐบาลผสมแน่นอน ทำให้เกิดเป็นสูตรจัดตั้งรัฐบาลกันล่วงหน้า
และที่ต้องต้องเน้นเป็นพิเศษ ก็คือ “พรรคตัวแปร” ซึ่งตอนนี้มองเห็นแล้วว่า ตัวแปรหลัก น่าจะเป็น พรรคเพื่อไทย ที่พร้อมจะไปได้ทุกขั้ว ทั้งพรรคประชาชน และภูมิใจไทย โดยมีพรรคกล้าธรรม ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นตัวแปรรอง
แต่ถึงอย่างไร เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้ม และพิจารณาจากตัวเลขจากผลสำรวจที่ระบุว่ายังมี “เสียงที่ยังไม่ตัดสินใจ”เลือกใคร และพรรคไหนอีกกว่าร้อยละ 40 เชื่อว่า น่าจะไหลไปทางประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย มากกว่าจะไปทางพรรคประชาชน หรือ พรรคอื่น
เพราะหากวิเคราะห์กันตามความเป็นมาแล้ว จากการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 62 ปี 66 ที่ส่วนใหญ่คนพวกนี้เคยเป็นฐานให้กับพรรคพลังประชารัฐ จนถึงรวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์เดิม และส่วนใหญ่น่าจะเป็นฝั่ง “อนุรักษ์นิยม” เดิม และคราวนี้ หากต้องเลือกแบบยุทธศาสตร์ พวกเขาก็อาจเทให้กับ “อนุทิน” มากกว่าจะไปที่ พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย เพราะฐานเสียงของสองพรรคหลังนี้ ล้วนเป็นฐานเดียวกัน และส่วนใหญ่ หรือแทบทั้งหมดได้ตัดสินใจไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากหลากหลายปัจจัย และบรรยากาศทางการเมืองในเวลานี้ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึง ก็ย่อมเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคภูมิใจไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล มากกว่าใคร แม้ว่าการเมืองไทยอาจพลิกผันได้ในนาทีสุดท้าย แต่ก็ยังเชื่อว่าเปลี่ยนยาก โดยเฉพาะการ ตุน “บ้านใหญ่” ไว้ในพรรคจำนวนมาก และส่วนใหญ่ที่ถือว่ามีอัตรา “แน่นอน” สูงมาก ย่อมการันตีตัวเลขส.ส.เพื่อลุ้นเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นั่นแหละ !!


