กกต.แถลงภาพรวมการรับสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีวันแรก เรียบร้อย 32 พรรค ส่งแคนดิเดต 68 คน ชี้ ประชามติพรรค รณรงค์ชี้นำได้
วันนี้ (28 ธ.ค.) นายแสวง บุญมี เลขาฯ กกต. สรุปภาพรวมการรับสมัคร สส.บัญชีรายชื่อและส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองวันแรก ว่า วันนี้ กกต.เปิดรับสมัครผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อวันแรก ภาพรวมทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วยความร่วมมือของทั้งพรรคการเมืองและผู้สนับสนุน รวมทั้งสื่อมวลชน ซึ่งพรรคการเมืองที่มาลงเวลาก่อน 08.30 น. มี 52 พรรคการเมือง ทางสำนักงานได้มีการตรวจสอบเอกสารความพร้อมและทุกพรรคได้ส่งเอกสารครบถ้วน ได้มีการจับสลากลำดับหมายเลขที่จะใช้หาเสียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว และพรรคการเมืองได้เสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จำนวน 32 พรรคการเมือง รวม 68 คน แต่พรรคที่ยังไม่ได้เสนอชื่อสามารถเสนอได้จนถึงวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครวันที่ 31 ธันวาคม 2568
ส่วนนโยบายหาเสียงที่พรรคการเมืองได้ยื่นจะส่งไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเป็นหนังสือส่งถึงเจ้าบ้าน 19 ล้านครัวเรือน โดย 52 พรรคการเมืองได้ส่งนโยบายหาเสียงเรียบร้อยแล้ว
ส่วนนโยบายที่จะใช้หาเสียงตามมาตรา 57 ของกฎหมายพรรคการเมือง กกต.มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนโยบายหาเสียง โดยจะต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง
ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบนโยบายพรรคการเมืองมาจากหลายภาคส่วนเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ซึ่งคณะที่มาจากส่วนราชการ ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น นายวีระ ธีรภัทร ผู้ดำเนินรายการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ โดย กกต.ก็จะเชิญมาร่วมตรวจสอบนโยบายพรรคการเมืองด้วย
นายแสวง ยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาร่วมให้การรับสมัครในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
สำหรับการออกเสียงประชามติ นายแสวง ระบุว่า มี 3 ส่วนคือส่วนแรก การให้ข้อมูลเป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะทำประชามติ คือ ครม. เป็นผู้เสนอคำถามมายัง กกต.ตามมาตรา 9(2) พ.ร.บ.ประะชามติ กกต.ก็จะทำเอกสารส่งไปถึงประมาณ 19 ล้านครัวเรือน ซึ่งต้องไม่เป็นการชี้นำ ส่วนที่ 2 คือ การแสดงความคิดเห็น สำนักงาน กกต.จะเป็นผู้จัดเวทีให้ฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบได้แสดงความคิดเห็น โดยเท่าเทียมกัน จะมีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ขณะที่สื่อมวลชนก็สามารถดำเนินการได้แต่ต้องคำนึงถึงความเสมอภาคความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย ขณะที่การรณรงค์เพื่อการออกเสียงประชามติ เป็นเสรีภาพของประชาชน กฎหมายให้อำนาจ กกต.ออกระเบียบเพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่พรรคการเมืองสามารถรณรงค์การออกเสียงประชามติได้แต่ต้องไม่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี หรือการให้ข้อความอันเป็นเท็จ ส่วนค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองมีค่าใช้จ่ายก็จะต้องปฏิบัติอยู่ภายใต้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ กฎหมายเลือกตั้ง สส. กฎหมายประชามติ และกฎหมายพรรคการเมือง
สำหรับพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นายแสวง กล่าวว่า ความตั้งใจของ กกต.คือ จัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เหตุที่จะทำให้อาจไม่มีการเลือกตั้งในวันดังกล่าว โดยกฎหมายกำหนดให้มี 2 แบบ เลือกตั้งทั้งประเทศหรือการเลือกตั้งบางหน่วย ได้แต่ขณะนี้สถานการณ์และความตั้งใจของ กกต.ผมเชื่อว่า จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 และก็ว่าจะถึงวันนั้นคิดว่าสถานการณ์น่าจะพร้อม สำนักงานพรรคการเมืองผู้สมัครและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานรวมถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของประชาชนและความสะดวก ต้องให้ได้ครบทุกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่กกต.ได้ตั้งบริหารไว้แต่เหนือสิ่งอื่นใดการเลือกตั้งต้องเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมไม่ว่าจะเป็นวันใดก็แล้วแต่แต่ขณะนี้ กกต.ก็ได้มีการเตรียมและมีการประสานข้อมูลโดยขณะนี้สามารถจัดการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ได้
ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่สู้รบเพื่อไม่ให้เป็นการเสียสิทธินั้น นายแสวงระบุว่ากกตจะหารือกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อหาแนวทางให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวได้รับความสะดวกจะไม่เสียสิทธิในการออกไปเลือกตั้ง ส่วนการอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยในพื้นที่กัมพูชา โดยในทุกพื้นที่ที่มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลก็ได้มีการเปิดให้ลงทะเบียนซึ่งก็ต้องรอดูว่าจะมีปัญหาหรือไม่ ทั้งนี้ต้องดูว่ามีจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งและประสานมตินอกราชอาณาจักรเท่าใด คิดว่าสถานกงสุลที่ได้ประเมินสถานการณ์ความเหมาะสม ก็จะมีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ออกมาด้วยความเหมาะสม
นายแสวง ยังย้ำถึงการอำนวยความสะดวกการจัดประชามตินอกราชอาณาจักร ว่า ได้มีการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ ซึ่งทุกฝ่ายได้ทำอย่างเต็มที่ ทำอย่างดีกว่าเดิม ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์และรักษาเจตนารมณ์การออกไปใช้สิทธิ ซึ่งถือเป็นหลักการที่ กกต.ตั้งไว้แต่หลักการปฏิบัติ ต้องยอมรับว่ากระทรวงการต่างประเทศ ก็ลำบากขึ้นเพราะมีออกเสียงประชามติควบคู่ไปด้วย ซึ่งการเลือกตั้งต้องส่งบัตรมานับที่ประเทศไทยขณะที่ประชามตินับที่ต่างประเทศจำนวนบุคลากรเท่าเดิมแต่งานเพิ่มขึ้น แต่รับปากว่าจะทำมาอย่างดีที่สุดและดีกว่าเดิม โดยได้มีแผนรองรับไปแล้วและมีการประชุมร่วมกันตลอดเวลา
เมื่อถามว่า ณ วันนี้ การรณรงค์ออกเสียงประชามติของนักการเมืองสามารถพูดได้หรือไม่ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ นายแสวง กล่าวว่า อย่างแรกสิ่งที่จะต้องทำคือการให้ข้อมูลจากนั้นเรื่องความเห็นในสนามที่ 2 หรือกิจกรรมหรือกิจกรรมรณรงค์สามารถทำได้ทุกอย่างหมายความว่าสามารถแสดงความคิดเห็นชี้นำได้ว่าเห็นชอบฝ่ายไหนไม่เห็นชอบฝ่ายไหนแต่อย่าเกินกว่ากฎหมาย เช่น หลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จ


