วันนี้(26 ธ.ค.)ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นภายหลังการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะนโยบายการรับสมัครทหารอาสา ว่า ถือเป็นนโยบายที่ท้าทายอารมณ์และความรู้สึกของสังคมไทยพอสมควร แต่เป็นแนวคิดที่มุ่งวางรากฐานการรับมือภัยความมั่นคงในระยะยาว และไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในบริบทสากล
ผศ.ดร.วันวิชิต ระบุว่า ในหลายประเทศมีแนวคิดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ที่เปิดให้พลเรือนเข้ามามีบทบาทในการดูแลความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในประเทศ จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่ยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร หรือในเมื่อปัจจุบันมีระบบสมัครใจอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องมีทหารอาสาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.วันวิชิต อธิบายว่า ระบบทหารเกณฑ์แบบสมัครใจ และทหารอาสา เป็นคนละส่วน และสามารถแบ่งมอบภารกิจที่แตกต่างกันได้ โดยทหารอาสามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจการของกองทัพในยามจำเป็น เช่น การช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ การจัดการอพยพประชาชนจำนวนมาก หรือการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงที่เข้าใจภารกิจด้านความมั่นคงและสามารถสื่อสารกับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผศ.ดร.วันวิชิต เปรียบเทียบนโยบายดังกล่าวว่า มีลักษณะคล้ายกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ทำหน้าที่เป็นกำลังสำคัญในการกระจายข้อมูลและนโยบายด้านสาธารณสุขลงสู่พื้นที่ท้องถิ่น ทำให้รัฐสามารถเข้าถึงประชาชนในระดับฐานรากได้จริง
“นโยบายการรับสมัครทหารอาสา จึงเป็นแนวคิดเรื่อง รั้วของชาติที่ไม่ได้มองความมั่นคงเฉพาะมิติทางทหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมภัยคุกคามทุกรูปแบบ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว
ผศ.ดร.วันวิชิต ระบุเพิ่มเติมว่า ภัยคุกคามดังกล่าวรวมถึงการลักลอบนำของเถื่อนเข้าประเทศ การทะลักของสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านที่กดราคาพืชผลไทย แรงงานผิดกฎหมาย ยาเสพติด เครือข่ายสแกมเมอร์ การพนัน กาสิโน และทุนสีเทา ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศในภาพรวม
ท้ายที่สุด ผศ.ดร.วันวิชิต เห็นว่า การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะอาสาสมัคร จะช่วยสร้างความรู้สึกหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความมั่นคงของประเทศเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและแท้จริง


