xs
xsm
sm
md
lg

สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสื่อสาร “แนวทางการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติ-สงคราม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปี 2568 นับเป็นปีที่ประเทศไทย เผชิญกับสถานการณ์ที่หนักหน่วงหลายด้าน ทั้งในสถานการณ์ภัยพิบัติ และสงครามชายแดน ความสำคัญของการเยียวยาฟื้นฟูทั้งทางกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ใหญ่ แต่ "เด็ก" ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการการดูแลและฟื้นฟูอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย เครือข่ายสิทธิเด็กประเทศไทย , Peaceful Death , มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา , Cheer Camp , ความสุขประเทศไทย จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเวที "ภารกิจนักสื่อสารสุขภาวะเพื่อการดูแลและฟื้นใจเด็กในภาวะภัยพิบัติและสงคราม" เชิญชวนผู้ใหญ่มาเติมข้อมูลและความรู้ แนวทางดูแลและฟื้นใจเด็ก เพื่อให้กำลังใจและขยายขอบเขตการดูแลเด็ก ๆ หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติหรือสงคราม
โดยมีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ในหัวข้อ “ประสบการณ์จากพื้นที่ภัยพิบัติและสงคราม” และ “แนวทางการดูแลเด็กและการออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก” รวบรวมเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานจริงและผู้เชี่ยวชาญ มาถักทอเป็นองค์ความรู้ เพื่อโอบอุ้มจิตใจของเด็กให้ก้าวข้ามผ่านพายุวิกฤต

เสียงสะท้อนจากหน้างาน : เมื่อศิลปะและพื้นที่เล็กๆ กลายเป็นเกราะคุ้มกันใจ
​เจริญพงศ์ ชูเลิศ หรือ “ครูยอด” ผู้ก่อตั้งกลุ่มนิทานใบไม้ เล่าถึงประสบการณ์การเป็นผู้ประสบภัยที่ต้องอพยพซ้ำซ้อน พาครอบครัวหนีสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา มาอยู่ที่ศูนย์พักพิงศูนย์สมุนไพรอีสานใต้อภัยภูเบศร ต.สำโรง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ถึง 3 ครั้งภายในปีเดียว บรรยากาศในศูนย์พักพิงที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สภาพปัญหาที่พบคือความยืดเยื้อและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจนไม่มีใครคาดเดาจุดจบได้
​“ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับคำว่าสงคราม แต่เราไม่เคยเจอกับคำว่าสงครามเต็มรูปแบบอย่างนี้เลย และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น....ตอนนี้ไม่มีใครตอบได้ว่าสงครามครั้งนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ไม่มีใครตอบได้... บางทีก็มีการพูดกันสนุกๆ ในศูนย์พักพิงว่า เอ้ย ปีนี้เราอาจจะได้เคาท์ดาวน์กันอยู่ที่นี่ก็ได้”
​สิ่งที่ เจริญพงศ์ พบคือ เด็กๆนับหมื่นคนต้องอยู่อย่างเคว้งคว้างท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ ไม่มีกิจกรรมใดๆ ทำตลอดทั้งวัน หลังตั้งหลักได้เขาจึงตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้กับเด็กๆ ได้บ้าง เขาและเครือข่ายในนามสภาพลเมืองจังหวัดสุรินทร์ จึงเริ่มระดมอุปกรณ์ศิลปะและกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เพื่อสร้างพื้นที่เยียวยา แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือ พวกเขากลับพบว่า ผลงานของเด็กๆ มักสะท้อนภาพจำที่พวกเขาเผชิญ

​“บางวันก็จะได้ยินเสียงปืนใหญ่ที่มาพร้อมกับตอนที่เรากำลังพาเด็กๆ วาดรูปทำกิจกรรม ศิลปะอยู่ ก็จะมีเสียง บึ้ม บึ้ม อยู่รอบๆ เรา... เด็กเขาก็สะท้อนออกมาเลย จากภาพที่วาด มีรถถัง มีเครื่องบิน มีบ้าน มีไฟไหม้... ซึ่งมันออกมาจากสิ่งที่เขาเผชิญ ”
​สถานการณ์ชายแดนครั้งนี้ ทำให้ใน จ.สุรินทร์ มีศูนย์พักพิงเกิดขึ้นมากกว่า 100 ศูนย์ พวกเขาพยายามลงพื้นที่ไปทำกิจกรรมกับเด็กๆ ให้ได้มากที่สุด แต่เต็มที่ก็ทำได้เพียงแค่วันละ 3 ศูนย์ โดยกฎเหล็กสำคัญที่ เจริญพงศ์ และเครือข่ายตกลงกัน คือ “จะไม่ตอกย้ำความรุนแรง” ไม่มีการตั้งหัวข้อหรือชี้นำให้เด็กนึกถึงเหตุการณ์เลวร้าย แต่จะให้อิสระเด็กได้ระบายความรู้สึกผ่านศิลปะออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาอย่างปลอดภัย

​“ ในสภาวะแบบนี้เป็นสภาวะที่ไม่ปกติและเราเพิ่งเผชิญกับมัน เราจึงมีข้อตกลงกันว่าจะพยายามไม่ไปลงลึกจนเกินไปในเรื่องเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นทางด้านความรุนแรง ไม่อยากไปตอกย้ำเรื่องความรุนแรง... แต่ให้เขาได้อิสระ ได้ฟรีฟอร์มออกมาเลยว่าเขาอยากสื่อสารอะไร " เจริญพงศ์ กล่าว

มหาอุทกภัยหาดใหญ่ : บาดแผลที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “เรือ”
​เมื่อข้ามฟากไปที่วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ พญ.ภัทรภร คงอินทร์ หรือ หมอเป้ อาจารย์จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ต้องรับมือกับการดูแลเด็กๆนับพัน ในศูนย์พักพิง ม.อ.ที่มีคนแออัดถึง 7,000 คน สิ่งแรกที่หมอเป้ให้ความสำคัญ นอกเหนือจากเรื่องของปัจจัย 4 คือ "ความปลอดภัยทางกายภาพ" ตั้งแต่การติดแท็กสติ๊กเกอร์ชื่อผู้ปกครองที่ตัวเด็กเพื่อกันการพลัดหลง ไปจนถึงการสอดส่องป้องกันการทอดทิ้งเด็ก หรือเด็กที่ถูกนำตัวมาโดยแยกจากผู้ปกครอง โดยในศูนย์พักพิงจะมีการกำหนดจุดนัดพบที่ชัดเจน หากหายหรือพลัดหลงจากผู้ปกครอง
​“ถ้าเด็กๆ นั่งๆ นอนๆ ไม่มีที่ยึดเกาะ ใจเขาก็จะวนไปนึกถึงเหตุการณ์ยากลำบากที่เพิ่งเผชิญผ่านมา เราจึงเริ่มต้นจากการฟอร์มทีมเท่าที่เราหาได้ เพราะจิตแพทย์ในพื้นที่เอง ก็เป็นผู้ประสบภัยเช่นกัน ก่อนที่จะเริ่มทำกิจกรรม เราให้ผู้ปกครองสามารถมาเข้าร่วมด้วยได้ ”
​เพื่อเข้าถึงเด็กกลุ่มนี้ หมอเป้และทีมงานจึงได้สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" เล็กๆ ขึ้นในมุมหนึ่งของศูนย์ฯ ใช้กิจกรรมศิลปะเป็นการปฐมพยาบาลทางใจ โดยให้เด็กๆ วาดภาพ "สถานที่ที่หนูรู้สึกปลอดภัย" ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถคัดกรองเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษได้ ก่อนจะขยายผลไปทำงานร่วมกับทีมครูอาสา เพื่อสอดแทรกแนวคิด “การปฐมพยาบาลทางใจ” เข้าไปในทุกกิจกรรมการเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งผ่านการปั้นดินน้ำมันหรือการนับสี เพื่อดึงเด็กกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
​ข้อค้นพบที่น่าสนใจ คือ สภาวะจิตใจของเด็กๆ ซึ่งแตกต่างจากที่ผู้ใหญ่คาดคิด แม้เด็กๆ 80-90% ที่ศูนย์พักพิง จะดูมีความสุข แต่หมอเป้วิเคราะห์ว่า ความสุขนั้นเป็นเพียงภาพภายนอกที่เด็กๆ ตื่นเต้นกับการได้เจอเพื่อนใหม่ในพื้นที่เล่นขนาดใหญ่ แต่ยังมีเด็ก 10-15% ที่ได้รับผลกระทบอย่างเงียบๆ ซึ่งบาดแผลทางใจที่มองไม่เห็นเหล่านี้ของเด็ก อาจแสดงออกมาในสิ่งเล็กน้อยที่ผู้ใหญ่มักมองข้าม

​เราได้ตั้งโจทย์ถามเด็กๆ ถึงสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัย โดยให้เด็กวาดภาพออกมา จังหวะที่เด็กๆวาด เราจะเห็นเลยว่า มีใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ เช่น บางคนเงียบๆวาดส่วนตัว แยกวงไป หรือบางคนพอมีประตูที่เปิดเข้าเปิดออก พอเสียงมันปึ้ง บางคนสะดุ้ง หรือบางทีเราคุยๆ กันแล้วมีคนพูดว่า “เรือ” เด็กเล็กๆ คนหนึ่งก็พูดออกมาเลยว่า “ไม่เอาเรือ” ”

​เด็กอีกหลายคนยังเผชิญกับความสูญเสียที่มากกว่าสิ่งของ เช่น มีการสูญเสียคนในครอบครัว หรือ เด็กที่สัตว์เลี้ยงเสียชีวิต ซึ่งเป็นสัตว์ที่เขารักเหมือนคนในครอบครัว การเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ คือการอนุญาตให้เขาได้รู้สึกเศร้าอยู่กับมัน โดยที่มีผู้ใหญ่อยู่เคียงข้างคอยรับฟัง และปลอบอารมณ์ได้
​คุณหมอเป้ยังมองว่า หลังสถานการณ์ผ่านไป หากจะมีการทำกิจกรรมแนะนำแนวทางการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ การคำนึงถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของการทำกิจกรรม ก็มีความสำคัญ เพื่อไม่ให้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กต้องนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งทำให้ตนเองบอบช้ำ

​“การที่เรามีใจอยากจะเข้าไปช่วยเขา ขอให้ช่วยเขากลับมาอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันได้เท่านั้นเพียงพอ ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องไปขุดคุ้ย ว่าที่ผ่านมามันเป็นยังไง”
​“ สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเด็กๆ คือ หลายครั้งที่เราคิดว่า เด็กเขาอ่อนแอ แต่ในความจริงแล้ว เด็กเขามี Wisdom หรือมีปัญญาของตัวเอง... เขาสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างดี ถ้ามีผู้ใหญ่ที่อยู่เคียงข้างรับฟังและปลอบอารมณ์ได้ ” หมอเป้กล่าวสะท้อนพลังแห่งการฟื้นตัวของเด็กๆ
ถอดรหัสบาดแผลเงียบ : ผลกระทบของวิกฤตต่อสมองและพัฒนาการเด็ก
​ประสบการณ์ในภาวะวิกฤต ไม่ได้เป็นเพียงความทรงจำที่เลวร้าย แต่คือสภาวะที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ในเชิงวิชาการ ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช กุมารแพทย์พัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และผู้เขียนหนังสือ "ปลูกกล้ากลางไฟ" ซึ่งเป็นคู่มือ ในการดูแลและฟื้นฟูจิตใจเด็กในภาวะวิกฤตตามมาตรฐานสากล กล่าวถึง “แนวทางการดูแลเด็กและการออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก” โดยอธิบายว่าเด็กที่เผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงต่อเนื่องจะตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า "Toxic Stress" หรือความเครียดเป็นพิษ ทั้งเด็กที่ต้องย้ายจากการอพยพ ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ และเสียงปืนที่ดังจากการรบ เด็กที่เสียชีวิตจากระเบิดที่ลงในพื้นที่ การที่มีความรุนแรงออกไปในหน้าข่าว เด็กที่ติดตามข่าวก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
​“ เวลาให้เด็กวาดรูปคน ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงครามเขากลับวาดคนถือปืน วาดคนอยู่บนรถถัง ซึ่งพอเรามอง ตอนแรกขำ แต่พอคิดไป ไม่ขำเลย เพราะเด็กอยู่ในวัยที่รับรู้ ช่วงหนึ่งในชีวิตเขาแทนที่จะเรียนรู้เรื่องสร้างสรรค์ แต่กลับต้องเรียนรู้เรื่องความรุนแรง หากได้รับการตอบสนองที่ไม่เหมาะสม อาจะเกิดผลกระทบ กลายเป็นพฤติกรรมของเขาในอนาคต...”
​เวลาที่คนเราต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต สภาวะนี้ถูกเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่าเหมือนสมองที่มีไฟลุกอยู่ตลอดเวลา หรืออยู่ในโหมด “สู้” หรือ “หนี” ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองถูกออกแบบมาเพื่อการเอาชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะนำครูหรือกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการใดๆ เข้าไป แต่หากสมองของเด็กยังคง "ลุกเป็นไฟ" จากความกลัว ความกังวล การเรียนรู้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
​ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่ทำให้เด็กเรียนรู้อะไรไม่ได้และส่งผลต่อพฤติกรรมรุนแรงในอนาคต
“เสียงปืนหรือสงคราม ไม่ว่ามันจะสั้นแค่ไหน แต่ผลกระทบต่อจิตใจเด็กมันเกิดขึ้นยาวนานเสมอ เพราะมันเป็นเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งในชีวิตเขาไม่เคยเจออย่างนั้นมาก่อน หากเราจัดการได้ไม่ดี ผลกระทบมันจะยาวนาน...หรืออาจจะตลอดไป"

​หากบาดแผลทางใจเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวลหลังเกิดเหตุวิกฤต หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ และการใช้ชีวิตของเด็กไปตลอดช่วงชีวิต ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของการเยียวยาในระยะแรกจึงไม่ใช่แค่การทำให้เด็กร่าเริง แต่คือการ "ป้องกัน" ไม่ให้บาดแผลเฉียบพลันกลายเป็นแผลเป็นเรื้อรังทางใจ
พิมพ์เขียวแห่งการเยียวยา : หลัก 4 ป.
​ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ได้อธิบายให้เห็นถึงหลักการสำคัญในการดูแลเด็ก ที่สรุปจากคู่มือ "ปลูกกล้ากลางไฟ" ออกมาเป็นหลัก "4 ป." ที่เข้าใจง่ายและครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ได้แก่
• ปลอดภัย เป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญที่สุด โดยสร้างความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น การจัดหาที่พัก อาหาร ทำให้เด็กรู้สึกว่ามีผู้ใหญ่ที่เขาไว้ใจได้คอยดูแลอยู่
• ปลอบขวัญ คือ การพยายามคืนความรู้สึกปกติสุขกลับมาให้เด็ก ผ่านการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัย เช่น การเล่น การวาดรูป เพื่อดึงเด็กออกจากความเครียดและทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตยังดำเนินไปอย่างปกติเหมือนที่คุ้นเคย
• ป้องกัน คือ การป้องกันปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว (PTSD) ผ่านการปฐมพยาบาลทางใจ การสังเกตพฤติกรรม และการคัดกรองเด็กที่อาจมีความเสี่ยงสูง
• เปิดบริการ คือ การส่งต่อเด็กที่มีความเสี่ยงสูงให้ได้รับการดูแลจากทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น จิตแพทย์เด็ก หรือนักจิตวิทยา
​ผศ.นพ.เทอดพงศ์ เน้นย้ำหัวใจสำคัญของการเยียวยาคือการสร้าง "พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก" หรือ “Child-Friendly Space” อย่างไม่เลือกปฏิบัติ เป็นแนวคิดที่องค์กรระดับโลกอย่าง UNICEF และ WHO ให้การยอมรับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่โต เพียง 1x1 ตารางเมตร ที่สงบ อากาศถ่ายเท และอยู่ใกล้ห้องน้ำเพื่อป้องกันการถูกล่วงละเมิด, และต้องไม่มีของเล่นที่เป็นปืน หรือของเล่นที่ดูเป็นทางการทหาร เพราะของเหล่านี้เมื่อเด็กเห็นแล้วเขาจะรู้สึกว่า Trauma มากกว่าเดิม โดยเจ้าหน้าที่เองก็ต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เรื่องของจรรยาบรรณในการพูดคุยกับเด็ก
​“ การออกแบบพื้นที่ความปลอดภัยสำหรับเด็ก กิจกรรมควรเน้นความสงบ เช่น การอ่านนิทาน การวาดภาพ และการแสดงผลงานของเด็กไว้ในพื้นที่ ซึ่งการมีพื้นที่ที่เด็กได้แสดงผลงานของตัวเอง จะทำให้เขารู้สึกว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่สำหรับเขาจริงๆ ” ผศ.นพ.เทอดพงศ์ กล่าว
ด้าน นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า “ ทุกภาคส่วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันปกป้องเด็กๆ ให้มีความเข้มแข็ง พร้อมก้าวต่อไปแม้มีภัยคุกคาม การออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก (Child-Friendly Spaces : CFS) ถือเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครอง ฟื้นฟู และส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการและศักยภาพของเด็กเป็นศูนย์กลาง ใช้ต้นทุนภูมิปัญญาและทรัพยากรของท้องถิ่นๆ นั้นๆ เด็กสามารถเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อเล่น เรียนรู้ แสดงออกทางความคิดและความรู้สึก รวมถึงได้รับการดูแลทางจิตใจจากผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจ ควรมีการติดตั้งและเตรียมพร้อมไว้ในทุกๆ ชุมชน เราจะเห็นว่า ในสถานการณ์วิกฤติต่างๆที่ เกิดขึ้น บางครั้งความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก ยากที่เข้าถึง เพราะฉะนั้น รัฐเองต้องสนับสนุน ให้มีทั้งนโยบาย แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการจัดให้พื้นที่พักใจและเป็นมิตรกับเด็กขึ้นในระดับชุมชน หรือทุกๆ ตำบล”
นางวรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนกรุณา, กลุ่ม Peaceful Death กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผู้แทนองค์กร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ทุกคนให้ความสนใจ และพร้อมจะสานพลังให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยต่างๆ การจัดพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กและการดูแลจิตใจของเด็กๆ ในภาวะวิกฤติ ภัยพิบัติ และสงคราม ถือเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยและคนทำงานจากนี้ จะมีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อศึกษา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ่ายทอดการนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้ หรือช่วยกันเผยแพร่เครื่องมือในการทำงานที่เกี่ยวข้องต่อไป”
ผู้สนใจ ข้อมูลต่างเพิ่มเติม สามารถเปิดอ่านและดาวน์โหลดหนังสือ “ปลูกกล้ากลางไฟ : แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็กในภาวะสงคราม” ทาง www.happyreading.in.th หรือสอบถามข้อมูลการดำเนินงานพัฒนาเด็กด้วยการอ่าน ติดต่อ เพจอ่านยกกำลังสุข




กำลังโหลดความคิดเห็น