ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ "ทรัมป์-อันวาร์" คนนอกที่ไม่แหกตาดู "เหมน-ฮุนเซน"… กองทัพไทยยันไปสุดซอย
เมื่อ"โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาเคลมผลงานตัวเองว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรีไทย และ “ฮุน มาเนต” ผู้นำกัมพูชา พร้อมประกาศกลายๆ ว่า ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิงแล้ว แถมยังสรุปเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดว่า เป็นเพียง “อุบัติเหตุ”
คำพูดของ "ทรัมป์" สะท้อนถึงความไม่รู้ ไม่ดูข้อเท็จจริง ของผู้นำประเทศมหาอำนาจเอาซะเลย
ฝ่ายไทย จึงออกมาสวนกลับแบบไม่ไว้หน้าว่า ไม่มีข้อตกลงหยุดยิงใดๆ และ คำว่า “อุบัติเหตุ” นั้นรับไม่ได้!!
เพราะพื้นที่ดังกล่าว มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็น "ทุ่นระเบิด" จริง และ ไม่ใช่การพลาดเหยียบตามดวงชะตาอย่างที่ "ทรัมป์" กล่าวอ้าง
มิหนำซ้ำ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงพฤติการณ์อย่างชัดเจน ในการขัดขวางการเดินทางกลับประเทศไทยของประชาชนชาวไทย จำนวนหลายพันคนที่ด่านปอยเปต ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมาย มนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือนในเวลาการรบหรือการสงคราม "ฮุน เซน" คนสั่ง ต้องมีความผิดเข้าข่ายเป็น "อาชญากรสงคราม" ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
“ทรัมป์” ฟังให้ชัด แถลงการณ์จากฝั่งความมั่นคงไทย ตอกย้ำชัดเจนว่า การปฏิบัติการทางทหาร จะยังดำเนินต่อไป จนกว่ากองกำลังฝ่ายตรงข้ามจะสิ้นสภาพการคุกคาม
ด้านสังคมไทย ก็เดือดไม่แพ้แนวหน้า เสียงวิจารณ์ถาโถมใส่ "ทรัมป์" ตลอดทั้งวัน ทั้งข้อครหาเรื่องแทรกแซงกิจการภายในไทย
นักเคลื่อนไหวหรือ "นักร้อง" บางรายได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ ทรัมป์ “ขอโทษทหารไทย และคนไทย” พร้อมขอให้หยุดบทบาท "ผู้จัดการโลก" ในความขัดแย้ง และทวงคืนอธิปไตยไทยที่แลกมาด้วยเลือดและชีวิต
ขณะที่ "อันวาร์" อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ตัวละครที่ชอบโผล่ขึ้นมาหาแสง สวมบท “คนกลางแห่งอาเซียน” เสนอไอเดียไกล่เกลี่ย พูดถึงสันติภาพ
หวังดันตัวเองขึ้นเวทีโลก ในฐานะคนกลางผู้สร้างสมดุล
แต่ดูเหมือนบทนี้…”อันวาร์”จะเล่นซ้ำ นอกจากคราวนี้ รัฐบาลและกองทัพไทยไม่มีใครสน นิ่งไม่รับบท ไม่รับไมค์ และไม่ร่วมแสดงในละครฮีโร่ ที่เขียนบทจากนอกประเทศ
ต้องบอกว่า คนไทยทั้งประเทศอยู่ข้างกองทัพ เรื่องของคนนอก "ทรัมป์" อยากจะพูดอะไรก็พูดไป "อันวาร์" อยากได้แสง ก็เสนอตัวไป
เพราะในสถานการณ์จริง ฝ่ายกัมพูชายังเคลื่อนกำลังพล และอาวุธเข้ามาบริเวณใกล้ชายแดนไทยตลอดเวลา แถมอาวุธหลักที่ใช้ต่อสู้กับไทย ยังหันปากกระบอกปืน เข้าใส่พลเรือนบ้านเรือนของประชาชนคนไทย...!
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย และจะต้องขอจัดภัยคุกคามจากเขมรไปตามแผนปฎิบัติการที่กำหนด
ท่ามกลางการส่งกำลังใจให้แนวหน้าจากทุกภาคส่วนขอให้ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ส่วน "ทรัมป์-อันวาร์" ควรรู้ว่าไทยไม่เคยรุกรานใครก่อน ถ้าจะให้ไทยหยุดยิง ก็ต้องไปฟังจากคำพูดของ “พลเอกชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์” เสนาธิการทหารบก ที่ว่า " ไปถามญาติและครอบครัวของทหารกล้าที่พลีชีพปกป้องอธิปไตยไทย ว่าพวกเขาจะยอมมั้ย ?"
งานนี้ต้องไปสุดซอยเท่านั้น "ทรัมป์"และ "อันวาร์" โปรดฟังอีกครั้ง..ไทยสุดซอย!
++ โชคดี ที่ประเทศไทยไม่มีนายกฯ ชื่อ “พิธา”
การยุบสภาท่ามกลางภาวะสงคราม ทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์ในทางลบต่อ พรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน ทันที เพราะมองว่า “ตัวต้นเหตุ” อยู่ที่ 2 พรรคนี้
พรรคภูมิใจไทย โดย“อนุทิน ชาญวีรกูล”นายกรัฐมนตรี ถูกมองว่าเอาเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองเป็นใหญ่ เพราะนอกจากจะยังได้อยู่ในอำนาจในฐานะรัฐบาลรักษาการ ยังถือโอกาสหนีการซักฟอก จากเรื่องสำคัญๆ เช่น
คดีสแกมเมอร์ที่พัวพันถึงคนในรัฐบาล...ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่...กรณีเขากระโดง และโครงการ MotoGP...การยกเลิก MOU43–44 และ ที่สำคัญคือในสถานการณ์ขัดแย้ง ไทย–กัมพูชา แต่ไทยก็ยังขายน้ำมันให้กัมพูชา...
ส่วน “พรรคประชาชน” ก็มุ่งแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เอามาตรา 112 ต้องการบ่อนเซาะสถาบันฯ ด้อยค่าทหาร ถึงขั้นที่ยอมยกมือหนุนให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯฟรีๆ โดยที่พรรคตัวเองไม่ร่วมรัฐบาล ขอแค่เงื่อนไขว่า ต้องสนับสนุนการแก้ รธน.
“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ถึงกับออกปากว่า นี่เป็นโอกาสดีที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ที่จะแก้ รธน.สำเร็จ
เพราะกติกาที่ คสช.ทำไว้ ต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา คือ สส.+สว. รวมกันแล้วได้ 351 เสียงเป็นอย่างน้อย และในจำนวนนี้ ต้องมีเสียง สว.1 ใน 3 ของสว.ทั้งหมด เห็นชอบด้วย สรุปคือต้องมี สว.อย่างน้อย 67คน เห็นด้วย จึงจะแก้ รธน.ได้
ที่ผ่านมา สว.เกือบทั้งหมด มาจากการแต่งตั้งของ คสช. จึงเห็นชัดว่าไม่มีทางแก้รธน.ได้ แต่เมื่อ สว.ชุดนั้นหมดวาระไป ชุดใหม่ที่ผ่านการ “ฮั้ว”เข้ามา เป็น“สว.สีน้ำเงิน” ที่มีความผูกพันอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ค่อนสภา
“ธนาธร” ฝันว่า MOA ที่พรรคทำขึ้น ให้“อนุทิน” เซ็น ว่าจะร่วมกันแก้รธน.นั้นคือสุดยอดของผลงาน!!
ซึ่งการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ก็ได้มีการตัดเงื่อนไข เรื่องเสียง สว. 1 ใน 3 ออกไปแล้ว คือถ้าจะแก้รธน. ให้ใช้มติเกินกึงหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาก็พอ ซึ่ง กมธ.ในสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทย ก็เห็นด้วย
แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาใน วาระ 2 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา สส.พรรคภูมิใจไทย กลับร่วมกับ “สว.สีน้ำเงิน” โหวตสวน ร่างที่กมธ.เสียงข้างมาก แก้ไขมา โดยให้คงเงื่อนไขเรื่องต้องมีเสียง สว.1 ใน 3 เห็นชอบด้วย จึงจะแก้รธน.ได้
เป็นการหักกันซึ่งหน้า ในการพิจารณาวาระ สอง ไม่ต้องรอให้ถึงวาระ สาม
“เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เดือดจัด ที่เสียรู้ จึงรีบเรียก สส.มาลงชื่อ เพื่อเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที ทั้งที่ก่อนหน้านั้น พรรคไม่มีท่าทีที่จะยื่นอภิปรายรัฐบาล
ทำให้ “อนุทิน” ชิงยื่นยุบสภาในวันนั้นเลย
หลังยุบสภา กระแสความไม่พอใจของสังคม ต่อทั้งสองพรรคนี้พุ่งปรี๊ด!! พรรคส้มนั้นหนักหน่อย ถูกเยาะเย้ยถากถางว่า “กินหญ้า”
นั่นจึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม “ปิกนิกพรรคประชาชน พบประชาชน ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน” ที่สนามหญ้า ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย“ธนาธร และแกนนำพรรค” ทั้งในอดีต และปัจจุบัน นั่งเก้าอี้ปิกนิก พูดคุยกับบรรดา นิสิต นักศึกษา
ไฮไลต์ อยู่ในช่วงที่ “ธนาธร” พูดถึงสงครามไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ว่า...ถ้าวันนั้น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ได้เป็นนายกฯ สถานการณ์จะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด เพราะถ้าพวกเราเป็นรัฐบาล เครื่องมือต่างๆ จะถูกนำมาใช้ยับยั้งสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางการค้า เครื่องมือทางการทูต เครื่องมือการต่างประเทศ จะถูกนำมาใช้ ประชาชนก็ไม่ต้องเดือดร้อน
“ธนาธร” ยอมรับว่า การทำ MOA แล้วถูกคู่สัญญาฉีกทิ้งนั้น ถือว่าเราล้มเหลว เราทำเราพลาดไปแล้ว เราจึงยืดอกมาขอโทษประชาชน อย่างตรงไปตรงมา อย่างสง่าผ่าเผย เพื่อขอให้พวกท่านไม่ทอดทิ้งเรา ไม่หยุดสนับสนุนเรา
และบทเรียนของการถูกหักหลังครั้งนี้ ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเราต้องเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ที่มีเสียงเกิน 250 เสียงเท่านั้น!!
การที่“ธนาธร” บอกว่าถ้า“พิธา” เป็นนายกฯ ประเทศไทยมาไม่ถึงจุดนี้ หากต้องการหาคำตอบว่า จริงหรือไม่ เราต้องย้อนไปดู พฤติกรรม ท่าที ทัศนคติของ “พิธา” ที่เคยแสดงต่อ ทหาร กองทัพ และสงครามสมัยใหม่ ว่าเป็นอย่างไร
“พิธา” แสดงจุดยืนมาตลอดว่า “ทหารมีไว้ปกป้องประเทศ ไม่ใช่ปกครองประเทศ” และเสนอแนวทางการปฏิรูปกองทัพ ลดงบประมาณ เลิกเกณฑ์หาร ให้กองทัพอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายพลเรือน
“พิธา” ยังมองว่าในโลกสมัยใหม่ สงคราม ไม่ใช่คำตอบ ความขัดแย้งควรถูกจัดการผ่านการทูต ผ่านกติกาสากล และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ซึ่งแนวคิดนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า คู่ขัดแย้งจะยอมรับเหตุผล ยอมรับกติกาสากล เพื่อสันติภาพ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เป็นสากลนั้น เอามาใช้กับกัมพูชาไม่ได้ เพราะผู้นำประเทศไม่ได้เป็น “อารยะ” แต่เป็น “อาชญากร” เจรจาเสร็จ พอคล้อยหลังก็ละเมิด แนวทางการเจรจาเพื่อสันติภาพ จึงเอามาใช้กับเขมรไม่ได้
ถ้า “พิธา” เป็นนายกฯ อย่างที่ “ธนาธร”ว่า ก็มีแต่จะตกเป็นเบี้ยล่าง เพราะเขาไม่เห็นความสำคัญของกองทัพ ในขณะที่โลกยุคนี้ก็เห็นกันชัดๆ ว่า “ผู้เข้มแข็ง” คือผู้กำหนดเกม กำหนดเงื่อนไข
ดังนั้น ไทยต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอให้ “ทรัมป์”มาเป็นคนกลาง มาเป็นผู้กำหนด แนวทางสันติภาพ
ส่วนที่ “ธนาธร”ออกมาขอโทษ ที่แก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ เพราะถูกหักหลังนั้น “มันง่ายไปไหม” ...ขอโทษเสร็จก็อยู่ต่อเหมื่อนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...และยังกล้าขอให้เลือกพรรคประชาชน มาเป็นรัฐบาลพรรคเดียวอีก ถามว่า “ขอมากไปไหม”
ประชาชน ควรเก็บรับประสบการณ์ จากการทำงานการเมืองของคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และมาถึงพรรคประชาชน ว่ามีอะไรเป็นที่พึ่งหวังได้บ้าง เมื่อตกผลึกแล้วค่อยมีคำตอบว่า จะยังสนับสนุนคนกลุ่มนี้ ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ หรือไม่
เพราะสงครามไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ว่า เป็นโชคดีของประเทศไทย ที่ไม่มีนายกฯชื่อ“พิธา”


