xs
xsm
sm
md
lg

ศาลปค.สูงสุดยืนคำสั่ง ตีตกปมเจ้าของตึกสูงซ.ร่วมฤดีฟ้องเรียกค่าเสียหายกทม. เหตุฟ้องเกินเวลากำหนด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลปค.สูงสุดมีคำสั่งยืนไม่รับพิจารณาปมเจ้าของตึกสูงซ.ร่วมฤดี ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกทม. เหตุไม่ตรวจสอบความกว้างเขตทางถนนซอยร่วมฤดี ทำให้ตึกต้องถูกสั่งรื้อ ชี้ฟ้องเกินระยะเวลาที่กำหนด

วันนี้ (27พ.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่บริษัทลาภประทาน จำกัด กับพวก ซึ่งเป็นผู้ประกอบการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่พิเศษ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายกับกรุงเทพมหานครจากการที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทำละเมิด ไม่ตรวจสอบความกว้างของเขตทางในซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวันกรุงเทพฯ เป็นเหตุให้กรุงเทพมหานครมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารอพาร์ตเมนต์และโรงแรมในชื่อ ดิเอทัส (The Aetas) ของผู้ฟ้องคดีซึ่งอยู่ภายในซอยดังกล่าว

โดยศาลปกครองสูงสุดระบุเหตุผลว่า
เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพ.ร.บจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสองจะต้องยื่นฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ สืบเนื่องมาจากผู้อำนวยการเขตปทุมวันได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองระงับการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตหรือได้รับใบแจ้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใดๆ ของอาคาร ดำเนินการแก้ไขและยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร แต่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้ดำเนินการ จนกระทั่งผู้อำนวยการเขตปทุมวันมีคำสั่งให้รื้อถอนอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง อันเป็นการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 310/2555 หมายเลขแดงที่ อ. 588/2557 ซึ่งคดีดังกล่าวมีนายแพทย์สงคราม ทรัพย์เจริญ กับพวกรวม 24 คน ได้ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่1-2 ต่อศาลปกครองกลาง ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ โดยไม่ดำเนินการกับอาคารพิพาทของผู้ร้องสอดทั้งสอง (ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง) โดยข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ถนนซอยร่วมฤดีตั้งแต่ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารพิพาทของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมิได้มีเขตทางกว้าง 10 เมตร ตลอดแนว การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาให้ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และหรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใช้อำนาจตามมาตรา 40 ถึงมาตรา43 พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535ดำเนินการกับผู้ฟ้องคดีทั้งสองในคดีนี้ เมื่อหลังจากที่ผู้อำนวยการเขตปทุมวันซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีคำสั่งตามมาตรา 40 มาตรา 41แล้ว แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการ ผู้อำนวยการเขตปทุมวันจึงได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 โดยปิดคำสั่ง ณ อาคารหรือบริเวณที่ตั้งอาคารที่ทำการของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เมื่อวันที่ 31 ต.ค.59 จึงต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองทราบคำสั่งเมื่อพ้นกำหนดสามวันนับแต่วันที่ได้มีการปิดประกาศดังกล่าว ตามมาตรา 47ทวิ คือวันที่ 4พ.ย. 59 ซึ่งหมายความว่าในวันดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรู้หรือควรรู้ถึงเหตุที่ไม่อาจแก้ไข ดัดแปลงอาคาร และไม่สามารถใช้สอยหรือใช้ประโยชน์ในอาคารของผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้แล้ว ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงชอบที่จะยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี คือต้องยื่นฟ้องภายในวันที่ 4พ.ย.60 แม้ผู้อำนวยการเขตปทุมวันจะได้มีคำสั่งลงวันที่ 21 ก.ย.64 ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรื้อถอนอาคารทั้งหมดอีกเป็นครั้งที่สอง ก็มีผลเป็นเพียงการยืนยันคำสั่งแรกเท่านั้น หาได้มีผลเปลี่ยนแปลงวันที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างในอุทธรณ์แต่อย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 29 พ.ย64 จึงเป็นการยื่นฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 51 แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองที่จะได้รับค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดเท่านั้น หาใช่เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมแต่อย่างใด รวมทั้งมิได้มีเหตุจำเป็นอื่นที่ศาลจะรับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 52 แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2545 ประกอบกับข้อ 30วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาได้ จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง


กำลังโหลดความคิดเห็น