xs
xsm
sm
md
lg

"แอน JKN" บ๊ายบายแน่แล้ว...ศาลออกหมายจับ หนีฟังคำพิพากษาคดี "โกง" หุ้นกู้ ** คดีเรือนจำ (พิเศษ) เปิดฮาเร็ม บำเรอกามจีนเทา ต้องสาวให้ลึก ถึงตัวการใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“แอน” จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ - พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ - มานพ ชมชื่น
ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ "แอน JKN" บ๊ายบายแน่แล้ว...ศาลออกหมายจับ หนีฟังคำพิพากษาคดี "โกง" หุ้นกู้

ไม่ผิดคาดนัก ที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ "แอน" จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ หรือ "แอน JKN" จะตกเป็นข่าวถูกศาลออก"หมายจับ" เพราะไม่มาฟังคำตัดสินคดีฉ้อโกงหุ้นกู้

หลังจากก่อนหน้านี้เกิดดรามาช่วงประกวด "มิสยูนิเวิร์ส" ที่จัดขึ้นในไทยแล้วมีคำถามว่า "แอน-จักรพงษ์" หายไปไหน!?
เพราะน่าประหลาดใจว่า "แอน-จักรพงษ์" เจ้าของมิสยูนิเวิร์ส กลับหลบลี้หนีหน้า จนมีคำตอบจากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ โดย "สนธิ ลิ้มทองกุล" เมื่อแว่วว่า "แอน-จักรพงษ์" หอบเงินหอบคริปโตมูลค่ามหาศาลไปซุกใต้ปีก "ราอูล" ผู้กว้างขวางแห่ง "เม็กซิโก" คนที่เป็นเจ้าของมิสยูนิเวิร์สในปัจจุบัน ที่รับซื้อหุ้นจาก JKN นั่นเอง

ข่าวว่า "แอน JKN" ได้รับการช่วยเหลือในเม็กซิโก เปลี่ยนสัญชาติเป็นเม็กซิกันเรียบร้อย

“แอน” จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์
คดีนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ คดี ที่"แอน-จักรพงษ์" ถูกฟ้องฐานฉ้อโกง เนื่องจากหลอกให้ลงทุน "หุ้นกู้" หลังจาก “เจเคเอ็น”คิดการใหญ่ ลงทุนซื้อมิสยูนิเวิร์ส 800 ล้าน โดยการออกหุ้นกู้ระดมเงินจากประชาชน

ต่อมาเมื่อครบกำหนดต้องชำระเงินให้ผู้ถือหุ้นกู้ กลับผิดนัดพร้อมกับสถานะการเงินบริษัทย่ำแย่ มีเหยื่อที่ตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก

โดยศาลแขวงพระนครใต้ ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ ที่ อ.1440/2566 ที่ นายระวีวัฒน์ มาศฉมาดล โจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ จำเลยที่ 1-2 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง

โจทก์ฟ้องว่า “แอน และบริษัทเจเคเอ็น” ร่วมกันหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงซึ่งควรบอกแจ้งแก่โจทก์ โดยชักชวนให้โจทก์ร่วมลงทุนซื้อหุ้นกู้ของบริษัทฯ ทราบดีอยู่แล้วว่า ไม่สามารถคืนเงินให้แก่โจทก์ในวันเวลาตามที่แจ้งได้ เนื่องจากภาระทางการเงินของบริษัทเจเคเอ็น ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าวได้ โดยการหลอกลวงนั้น ได้ทรัพย์สินจากโจทก์เป็นเงิน 30 ล้านบาท

คดีนี้ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา ระหว่างพิจารณาคดี "แอน-จักรพงษ์"ได้รับการปล่อยชั่วคราว และศาลอนุญาตให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้

ต่อมาศาลสืบพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้น ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา

ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลานัด นายจักรพงษ์ จำเลยที่ 2 ไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง พฤติการณ์ทำให้เห็นว่า จงใจหลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับ "แอน-จักรพงษ์" มาฟังคำพิพากษาต่อไป โดยศาลกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้อีกครั้ง วันที่ 26 ธ.ค.นี้

เรื่องของ "แอน-จักรพงษ์" ก็เอวังด้วยประการฉะนี้

พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์
++ คดีเรือนจำ (พิเศษ) เปิดฮาเร็ม บำเรอกามจีนเทา ต้องสาวให้ลึก ถึงตัวการใหญ่

เรื่องงามหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นประเด็นอื้อฉาวไปทั่วโลก

การสั่งย้าย “มานพ ชมชื่น” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในข้อกล่าวหาว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้นักโทษ “จีนเทา” รวมถึงการปล่อยให้มีการนำหญิงบริการเข้าไปภายในพื้นที่เรือนจำ กลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับระบบราชทัณฑ์ไทย อย่างรุนแรง

“พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่าห้องรับรองที่ใช้เป็น “ฮาเร็ม” นั้น เพิ่งมีการรีโนเวตใหม่ เมื่อเดือนเดือนกรกฎาคม 2568 นี่เอง โดย “มานพ ชมชื่น” ชี้แจงว่าเพื่อใช้เป็นห้องรับรองแขก ส่วนเอาเงินที่ไหนมาทำ เป็นงบฯหลวง หรือเปล่า อันนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ว่ากันว่า “แขก”ที่เป็นนักโทษจีนเทาต้องเสียค่า “เปิดเมมเบอร์” คนละ 3 ล้าน บวกค่าใช้บริการครั้งละแสน ในวันอาทิตย์ ที่ตามระเบียบปฏิบัติแล้ว เป็นวันงดเยี่ยม

การกระทำเช่นว่านี้ ไม่เพียงเป็นการละเมิดกฎหมายระดับร้ายแรง แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่เชิงโครงสร้าง ที่อาจเปิดทางให้เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ สามารถซื้ออิทธิพลภายในสถานที่คุมขังได้อย่างง่ายดาย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของประเทศ

การย้าย “มานพ ชมชื่น” จึงเป็นเพียงการจัดการในขั้นต้น เพื่อกันตัวออกจากตำแหน่ง แต่ยังห่างไกลจากการปิดคดี หรือยุติปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

มานพ ชมชื่น
ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบ “มานพ” เกี่ยวกับพฤติกรรมส่วนตัวในการเดินทางไปเล่นการพนัน ในต่างประเทศ แม้การพนันจะเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายของประเทศนั้น และกฎหมายไทยไม่อาจเอื้อมมือไปถึง แต่การให้คนที่มีพฤติกรรมทำนองนี้ มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุแห่งความไม่ถูกต้อง จนในที่สุดก็เกิดปัญหาอย่างที่เห็น
คดีนี้กำลังจะถูกเสนอให้เป็น “คดีพิเศษ” เพื่อให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” เข้ามารับผิดชอบ ตรวจสอบเชิงลึก ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะการที่มีบุคคลภายนอก อย่างหญิงบริการ เข้าไปยังพื้นที่เรือนจำพิเศษนั้น ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับล่าง หรือผู้บริหารในพื้นที่เพียงคนเดียวจะทำได้ ต้องมีการประสานงานหลายชั้น มีการเปิดทางเข้าออก มีการละเลยกฎระเบียบ สอดรับกันอย่างเป็นระบบ
จึงเป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถามตรงกันว่า คดีนี้ไม่มีทางจบลงที่การโยกย้าย ผบ.เรือนจำเพียงคนเดียว และไม่มีทางที่ผู้กระทำ หรือผู้เกี่ยวข้อง จะมีเพียงระดับปฏิบัติการเท่านั้น

มันต้องมีระดับใหญ่กว่านั้น!!

สิ่งที่ทำให้คดีนี้ต้องถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายจีนเทาและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เป็นหลัก การนำหญิงบริการเข้าไปภายในเรือนจำ การอำนวยความสะดวกให้กับนักโทษระดับพิเศษ รวมถึงการปล่อยปละละเลยให้เกิดสิ่งผิดกฎหมาย ล้วนต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และต้องมีผู้รับผลประโยชน์เป็นทอดๆ

การตรวจสอบเส้นทางการเงิน จึงเป็นหัวใจสำคัญของการคลี่คลายปมทั้งหมด ว่าเงินจากเครือข่ายจีนเทาไหลไปถึงใครบ้าง ผ่านมือใครบ้าง และมีใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดช่องทางในเรือนจำ

หากสามารถไล่เส้นทางการเงินได้อย่างละเอียด ก็อาจพบความเชื่อมโยง ที่ลึกกว่าที่สาธารณชนคาดคิดไว้มาก!

กรณีนี้ ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของกรมราชทัณฑ์ เสียหายอย่างรุนแรง เพราะการที่นักโทษสามารถใช้ “เงิน” ซื้อความสะดวกสบายภายในเรือนจำได้นั้น บ่งบอกได้ว่า ระบบควบคุมภายใน ไม่สามารถต้านทานอิทธิพลจากกลุ่มทุนมืดได้จริง

ความเสียหายนี้ ไม่ได้จำกัดแค่ความอับอาย แต่ลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อผู้เกี่ยวข้องเป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีปัญหาในระดับภูมิภาค

แต่เจ้าหน้าที่ของไทย กลับปล่อยให้มีการซื้อสิทธิพิเศษของกลุ่มทุนผิดกฎหมาย หลังกรงขังได้

กรณีที่เกิดขึ้นนี้สังคมไม่สามารถยอมให้จัดการเพียงแค่ “เปลี่ยนคนแล้วเรื่องเงียบ” เพราะหากดำเนินคดีแบบตัดตอนเหมือนที่ผ่านๆมา ปัญหาเดิมก็จะยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ อีก

คนที่ถูกลงโทษ ก็จะเป็นเป็นพียงเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย แต่ผู้มีอำนาจตัวจริงกลับลอยนวล และมีโอกาสกลับมาแทรกแซงระบบได้อีก

ดังนั้นการให้ “ดีเอสไอ” เข้ามามีบทบาท จัดการอย่างเต็มรูปแบบ จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้การสอบสวนไม่ถูกขัดขวาง และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างครอบคลุม ทั้งเรื่องเอกสาร การอนุญาต การลงบันทึกการเข้าออกเรือนจำ รวมถึงการตรวจสอบความผิดปกติของบัญชีทรัพย์สินเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องโดยละเอียด

เรื่องนี้ เวลานี้ สิ่งที่สังคมไทยต้องการ ไม่ใช่คำอธิบาย หรือคำขอโทษ แต่เป็นการลงมือแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ต้องดำเนินคดีให้ถึง “ตัวใหญ่” ไม่ว่าตำแหน่งใด หากเกี่ยวข้อง ต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างไม่ละเว้น!


กำลังโหลดความคิดเห็น