xs
xsm
sm
md
lg

พรรคการเมืองผนึกภาคีดัน พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ สสส.–ยธ.หนุน ใช้ “ยุติธรรมจังหวัด” ร่วมภาคประชาชนสู้รากเหง้าอคติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักการเมืองหนุนร่างกม.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ ชี้อคติฝังลึกในโครงสร้าง วัฒนธรรม ระบบรัฐ เสนอใช้ยุติธรรมจังหวัดผนึกภาคปชช. ทำงานเชิงรุก สสส.เผยคนไร้บ้าน LGBTQIAN+ คนพิการ และแรงงานข้ามชาติยังเผชิญอคติสูง จี้เร่งออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์

วันนี้ (21 พ.ย. 2568) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และเครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) จัดเวทีสาธารณะหัวข้อ “เห็นคุณค่าทุกชีวิต เดินหน้ากับร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. …” เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการใช้กฎหมายเป็นกลไกขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเสมอภาคเท่าเทียมอย่างเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 วางหลักคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและลดความเหลื่อมล้ำ ขณะที่รัฐบาลมีเจตนารมณ์ชัดเจนในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ สอดคล้องกับหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงเสนอร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็น “กฎหมายกลาง” ในการขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียมและขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เวทีสาธารณะครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันสื่อสารและขับเคลื่อนประเด็นการลดการเลือกปฏิบัติ และลดการละเมิดสิทธิมนุษยชนให้เห็นผลเชิงรูปธรรมยิ่งขึ้น

ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส.สนับสนุนงานวิจัยของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสถาบันศึกษาเมือง เพื่อศึกษามิติของอคติในสังคมไทย พบว่า “คนไร้บ้าน” เป็นกลุ่มที่เผชิญอคติสูงสุด ถูกเหมารวมในเชิงลบและถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจ

ขณะที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ เผชิญการเลือกปฏิบัติจากการตีตราอัตลักษณ์ทางเพศสูงกว่าประชากรทั่วไป กลุ่มคนพิการมักถูกมองด้วยความสงสาร หรืออีกด้านหนึ่งคือการชื่นชมเกินจริง และกลุ่มประชากรข้ามชาติถูกมองเป็นเพียง “แรงงาน” มากกว่าจะเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม

นพ.พงศ์เทพ ระบุว่า การผลักดันกฎหมายจึงจำเป็นเพื่อเป็น “หลักประกันสิทธิ” ให้ทุกคน โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ฉบับภาคประชาชน ที่มุ่งแก้ปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติแบบเชิงรุก และเสนอให้มีองค์กรอิสระมาขับเคลื่อนงานอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างสังคมที่มีสุขภาวะ ย้ำว่าสิทธิมนุษยชนไม่ใช่สิทธิพิเศษของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิทธิของทุกคนอย่างแท้จริง

จากนั้นมีเวทีเสวนา “ผ่าทางตันการเลือกปฏิบัติในประเทศไทย : ทิศทาง/นโยบายและการผลักดันกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล” โดยตัวแทนจากหลายพรรคการเมือง

นายกัณวีร์ สืบแสง ผู้แทนพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า “การเลือกปฏิบัติ ไม่ควรมีอยู่บนโลกใบนี้” เพราะความหลากหลายคือความงดงามและสร้างเอกภาพให้โลกได้ เขามองว่าปัญหามีทั้งในระดับโครงสร้าง ทัศนคติ วัฒนธรรม ระบบบริการภาครัฐที่ยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม และมาตรการช่วยเหลือที่ยังไม่ทั่วถึง ที่ผ่านมาการทำกฎหมายมักเน้นเรื่องลงโทษ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและเยียวยา อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายกลางเชื่อมโยงกฎหมายที่มีอยู่ให้ทำงานร่วมกันได้เต็มที่ แม้ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจเสนอไม่ทันรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ฝากให้รัฐบาลหน้ารับช่วงต่อเป็นวาระสำคัญ

ด้านนายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยผลักดันร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติฯ โดยหยิบยกข้อดีของหลายร่างมาผสมผสาน พยายามสร้างกลไกในการขจัดการเลือกปฏิบัติ แต่ติดปัญหาหลายด้าน เช่น ความคุ้นชินของสังคมและหน่วยงานรัฐ รวมถึงข้อจำกัดเชิงกฎหมายที่อาจขัดรัฐธรรมนูญ จึงได้ออกเป็นกฎหมายกลางเพื่อไปปรับแก้กฎหมายอื่นต่อ แต่กระบวนการต้องหยุดจากการเปลี่ยนรัฐบาล

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าขณะนี้ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าประเทศต้องมีกฎหมายลักษณะนี้ และเชื่อว่ารัฐบาลหน้าจะหยิบขึ้นมาเป็นเรื่องเร่งด่วน หากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสก็พร้อมผลักดันเต็มกำลัง โดยเน้นแก้ทั้ง “ความคุ้นชินในใจคน” และแก้ข้อขัดแย้งผ่านชั้นอนุกรรมการก่อนถึงศาล

นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ พรรคประชาชน กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติฯ มีโครงสร้างคล้าย พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ แต่ยังมีจุดติดค้างที่กระบวนการวินิจฉัยต้องไปจบที่ศาล และการตั้งองค์กรส่วนกลางเพียงแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ไม่เพียงพอต่อการขจัดการเลือกปฏิบัติทั่วประเทศ
พร้อมเสนอให้ใช้กลไกเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมเพื่อใช้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัดเป็นด่านหน้าดูแลปัญหาในพื้นที่ ร่วมกับภาคประชาชนที่มีความรู้ ทั้งด้านการวินิจฉัย ให้ความรู้ และช่วยผู้ถูกเลือกปฏิบัติรู้วิธีรวบรวมข้อมูลไปสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมเสนอให้กันงบประมาณของกระทรวงยุติธรรมมาใช้แก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติควบคู่ไปกับงานด้านมนุษยธรรม

ด้านนายราเมศ รัตนเชวง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาการเลือกปฏิบัติพบได้ตั้งแต่ในหน่วยงานรัฐ ประชาชนทั่วไป ไปจนถึงพรรคการเมือง ยกตัวอย่างการหาเสียงที่ประกาศจะพัฒนาจังหวัดหนึ่ง หากเลือกผู้สมัครของตน ก็ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ เขาเห็นว่าการให้ความรู้เรื่องนี้ต้องทำกับทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย และต้องมีกฎหมายรองรับควบคู่กันไป

นายราเมศเสนอว่า ควรเริ่มจาก รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายแม่บท โดยกำหนดให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มาจากกระบวนการสรรหา มีหน้าที่วินิจฉัยว่าการกระทำกรณีหนึ่ง ๆ เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ และมีโทษอย่างไร เมื่อแก้รัฐธรรมนูญแล้วจึงออกกฎหมายประกอบตามมา พร้อมสะท้อนว่าเมื่อการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ทางการเมืองยังทำได้ การแก้เพื่อสิทธิประชาชนก็ควรได้รับความสำคัญไม่แพ้กัน แม้เชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญคงไม่เสร็จในรัฐบาลนี้ แต่พรรคประชาธิปัตย์จะเตรียมนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนไว้เป็นฐานการทำงานต่อไป

ด้านนายสุนทร ผู้แทนเครือข่าย MovED กล่าวว่า การเลือกปฏิบัติมีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ขั้นนโยบายจนถึงการปฏิบัติ โดยมีทัศนคติและมุมมองที่ฝังรากลึกเป็นตัวขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเราเอง มองคนที่แตกต่างหลากหลายเป็น “มนุษย์” เท่าเทียมกัน แล้วดึงจุดแข็งของความแตกต่างมาประกอบเป็น “กำแพงคุ้มครองสิทธิ” ให้กับทุกกลุ่ม

ขบวนการภาคประชาชนต่อสู้เรื่องนี้มานาน หากสังคมมองคนอย่างเสมอภาค ก็จะนำไปสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายกำหนดกรอบการปฏิบัติต่อกัน โดยเครือข่ายยังคงเดินหน้าผลักดัน 2 ประเด็นหลัก คือ1.สนับสนุนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเสนอร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติฯ เข้าคณะรัฐมนตรีและเข้าสภา แม้อาจไม่ทันรัฐบาลนี้ แต่จะเป็น “เชื้อไฟ” ให้รัฐบาลหน้า และ2.ขอให้พรรคการเมืองบรรจุเป็นนโยบายเลือกตั้งและกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน ชี้ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน พร้อมยืนยันว่าเครือข่ายจะสู้ต่อจนกว่าจะมีกฎหมายออกมาใช้อย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น