"อนุทิน" สั่งในครม.เร่งทำคนละครึ่งเฟส 2 - เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ใน ม.ค. 69 "เอกนิติ" รับลูกเร่งคุยสำนักงบฯหาแหล่งเงินรองรับทั้ง 2 โครงการ มั่นใจจีดีพีไตรมาส 4 โตเกิน 0.6% สูงกว่าที่ สศช.ประเมิน
วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้มอบหมายในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงการคลังเตรียมความพร้อมในการเปิดการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ โดยขอให้พิจารณาไปพร้อม ๆ กันกับการพิจารณาจัดทำโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ด้วย
"นายกฯ ได้ให้นโยบายว่าให้ทำข้อมูลภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้ โดยเอาข้อดีเสียของคนละครึ่งพลัสแฟสแรกที่กำลังทำอยู่มาปรับปรุงใช้ เช่นเดียวกับการเปิดทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลัง รับไปดำเนินการ โดยการลงทะเบียนจะทำได้ในเดือน ม.ค.ปี 2569" นายเอกนิติ ระบุ
ทั้งนี้ยืนยันการดำเนินโครงการด้านเศรษฐกิจ โดยจะดำเนินการเหมือนเดิม นั่นคือ คนละครึ่งพลัส จะดูแลคนที่มีเงินโดยรัฐจะช่วยสมทบคนละครึ่ง ส่วนคนที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอที่จะได้รับเงินสมทบรัฐบาลจะจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้ที่ได้เงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส2ไม่ได้
ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการนั้น รองนายกฯ ระบุว่า จะใช้แหล่งเงินจากงบกลางเป็นหลัก ส่วนจะใช้วงเงินจำนวนเท่าใดนั้น ขณะนี้จอไปพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง โดยการจ่ายเงินลงไปถึงมือประชาชน รัฐบาลยังยึดตามไทม์ไลน์เดิมคือภายในเดือนมกราคม 2569
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมั่นใจว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 จะสูงกว่า 0.6% อย่างแน่นอน แม้ว่าสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะคาดการณ์ตัวเลขเบื้องต้นไว้เพียง 0.6% โดยผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มส่งผลจริงในระบบเศรษฐกิจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่าย การค้าปลีก และการบริโภคภายในประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่เข้าบริหารประเทศเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2568 ได้เริ่มเดินเครื่องโครงการต่างๆ เต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่งพลัส การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเที่ยวดีมีคืน
รวมถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดยขณะนี้เม็ดเงินกว่า 45,000 ล้านบาทได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว และเริ่มเกิดผลทวีคูณ (multiplier effect) สู่ผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศ มีรายงานร้านค้าหลายประเภท ร้านอาหาร ระบุว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น 15–20% รัฐบาลจึงมั่นใจว่าผลของมาตรการจะผลักดันจีดีพี ไตรมาส 4 ให้เติบโตสูงกว่าคาด พร้อมติดตามผลทุกวันเพื่อประเมินแรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี.


