“ทนายเชาว์” ชี้คดีทักษิณ 112 อาจพลิก หากใช้อำนาจสั่งสืบพยานเพิ่มตามม. 208 ระบุคำสั่งอสส.ให้อุทธรณ์เป็นการปิดคำถามสังคม หลังศาลชั้นต้นถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องพยานไม่ครบ ชี้พยานบางส่วนตกค้าง เปิดช่องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ได้เต็มรูปแบบ
วันนี้(18 พ.ย. 68) นายเชาว์ มีขวด โพสต์ข้อความบนเฟซบุ็ก“Chao Meekhuad” วิเคราะห์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาระบุว่ามีโอกาส “พลิก” ได้ หากศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สั่งสืบพยานเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อเท็จจริงครบถ้วน ก่อนวินิจฉัยใหม่
นายเชาว์ระบุว่า คำสั่งล่าสุดของอัยการสูงสุด นายอิทธิพร แก้วทิพย์ ที่ “ชี้ขาด” ให้ยื่นอุทธรณ์ ถือเป็นการกลับมติคณะกรรมการอัยการชุดเดิมซึ่งเคยลงมติ 8 ต่อ 2 ว่าไม่ให้อุทธรณ์ แต่แม้นายอิทธิพรเคยนั่งเป็นประธานในที่ประชุมดังกล่าว ก็ไม่ได้ลงมติ เพราะเป็นมารยาทของประธาน จึงไม่ใช่การกลับความเห็นของตัวเองตามที่ถูกวิจารณ์
คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด และจะถูกส่งให้สำนักงานอัยการคดีอาญา 8 ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ หมายความว่า คดีจะเข้าสู่การพิจารณาต่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วย “ปิดคำถามสังคม” ว่าเหตุใดอัยการจึงไม่อุทธรณ์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นคดีที่ประชาชนจับตาอย่างกว้างขวาง
นายเชาว์ชี้ว่า กระบวนการพิจารณาคดีชั้นต้นถูกตั้งข้อสงสัยว่า พนักงานสอบสวนและอัยการทำหน้าที่ครบถ้วนหรือไม่ และมีการนำพยานหลักฐานไม่เต็มน้ำหนักจนทำให้คดีอ่อน โดยสรุปคำพิพากษาของสำนักงานศาลยุติธรรมยังระบุชัดว่า “การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา… พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้… สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงอาฆาตมาดร้ายฯ โจทก์กล่าวอ้างแต่ไม่ได้มีพยานหลักฐานใด ๆ มานำสืบเลย จึงรับฟังไม่ได้”
ก่อนฟ้องคดี ทั้งตำรวจและอัยการต่างมั่นใจว่าพยานหลักฐาน “ดิ้นไม่หลุด” แต่ประเด็นสำคัญคือพยานบางส่วน “ตกค้าง” ไม่ถูกนำเข้าสำนวนในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้น ดังนั้นเมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 208 สืบพยานเพิ่มเติมให้ข้อเท็จจริงสมบูรณ์ แล้ววินิจฉัยใหม่ได้ หากศาลอุทธรณ์ใช้กลไกตามกฎหมายนี้ครบถ้วน “โอกาสที่คดีจะพลิกในชั้นอุทธรณ์มีสูง”


