กต.ยันทำการทูตเชิงรุก ฟ้องประชาคมโลกทุกเวที ย้ำกัมพูชาละเมิดข้อตกลง เผยเตรียมส่งเจ้าหน้าที่กระทรวงแจงประชุมรัฐภาคีออตตาวา 1-5 ธ.นี้ ที่เจนีวา ด้านโฆษกรัฐบาล บอกระงับแผนถอนกำลังไม่มีกำหนด ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้หากโดนยั่วยุ
วันนี้ (17พ.ย.) นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จากการหารือทางโทรศัพท์ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรี กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว จะมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำท่าทีของไทยในเรื่องนี้และเน้นความสำคัญคือกัมพูชาต้องมาปฏิบัติตามกรอบข้อตกลง โดยเฉพาะประเด็นการเก็บกู้ทุ่นวัตถุระเบิด ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่า กัมพูชาเป็นคนดำเนินการและจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ ดังนั้นในชั้นนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของกัมพูชา ที่จะกำหนดข้อตกลง
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ ทำหนังสือประท้วงต่อกรอบอนุสัญญาออตาวาไปยังประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประชุมประธานการประชุมรัฐภาคีดังกล่าว โดยขอให้ญี่ปุ่นเวียนหนังสือประท้วงให้รัฐภาคีออตตาวาได้ว่ารับทราบ นอกจากนี้ไทยยังมีหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แจ้งเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้วอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ด้วย โดยไทยจะหยิบยกประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ในการประชุมรัฐภาคีที่จะเกิดขึ้น ครั้งที่ 22 ระหว่าว 1-5 ธ.ค. นี้ ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศได้ทำหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ทหารเหยียบทุ่นระเบิด รายที่ 7 และ กัมพูชายิงฝั่งไทย ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว)และขอให้เวียนหนังสือดังกล่าวให้รัฐสมาชิกรับทราบ โดยเนื้อหาระบุการแจ้งให้ทราบว่ากัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทย ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ หรือละเมิดกรณีภายใต้อนุสัญญาภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ซึ่งหนังสือการประท้วงได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศแล้ว
นายนิกรเดช กล่าวต่อว่า กระทรวงต่างประเทศ ยังได้ชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ โดยได้ทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย และจัดบรรยายสรุปไปแล้วจำนวน 6 ครั้ง ล่าสุดคือ 12 พ.ย. 68 ซึ่งทุกครั้งที่มีการชี้แจงจะมีการยื่นหลักฐานและข้อมูลให้รับทราบถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันสถานเอกอัครราชทูตของไทย และสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ได้จัดแนวทางการชี้แจงและเอกสารต่างๆ ไปชี้แจงทั่วโลก ให้รับทราบถึงข้อเท็จจริง รวมถึงชี้แจงท่าทีของไทย โดยยอมรับว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงต่างๆ และหลังจากนี้กระทรวงต่างประเทศ ก็จะ เดินหน้าชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาคมโลกและสื่อมวลชนในทุกเวที โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ จะไปร่วมประชุมกับสภาพยุโรป ซึ่งก็จะพบกับผู้ข่าวต่างประเทศ ประจำประเทศไทยตลอดช่วงสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้า โดย 25 พ.ย. นี้ ก็จะไปร่วมเวทีสัมมนากับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเท็จจริง ที่ FCCT
นายนิกรเดช ยังกล่าวอีกว่า ต่อไปไทยจะยกประเด็นละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ต่อการประชุมภาคีอนุสัญญาครั้งที่ 22 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้แทนระดับสูง ของกระทรวงต่างประเทศเดินทางไปร่วมงานเอง นอกเหนือจากเอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ที่นั่น และไทยจะเดินหน้าดำเนินการในประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาออนไลน์สแกม ซึ่งไทยจะที่เป็นเจ้าภาพ การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางออนไลน์สแก ระดับรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมย้ำว่าไทยได้ดำเนินการการทูตเชิงรุกเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ในทุกกรอบทุกเวที และดำเนินการอย่างทันท่วงที
ด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปย้ำว่า ปฏิญญาร่วมในข้อ 1 จากการที่มีแอ็คชั่นแพลนในการถอนกำลัง ว่าจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 เดือน ตอนนี้ระงับเรื่องนี้ไปอย่างไม่มีกำหนด และทางรัฐบาลไทยยืนยันที่จะเดินหน้าในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ของไทยอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงว่ากัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ยังคงมีการดำเนินการต่ออยู่
ส่วนการปราบปรามสแกมเมอร์ รัฐบาลไทยยังเดินหน้าต่อ หากกลไกในระดับทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา สามารถดำเนินการได้ก็ดำเนินการ หากกลไกระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชา ดำเนินการไม่ได้ ก็จะใช้การดำเนินการในระดับพหุภาคี
ส่วนการปล่อยเชลยศึก จะเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากที่กองทัพไทย รัฐบาล กระทรวงต่างประเทศ เห็นว่าความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไป จึงจะเริ่มมีการเจรจาพูดคุยเรื่องการปล่อยเชลยศึกในรอบใหม่ การปฎิบัติการทั้งหมดนี้ รัฐบาลและกองทัพ ยืนยันที่จะใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้หากโดนยั่วยุตามความเหมาะสม


