‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดโครงการอบรมความรู้ด้านกฎหมาย เสริมความเข้าใจให้ชุมชน พร้อมเดินหน้าผลักดันกฎหมายพลังงาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ย้ำ ‘โซลาร์เสรี’ ยังไปต่อ! เพื่อประโยชน์ของประชาชนและเศรษฐกิจไทย
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 นายชัชวาลล์ คงอุดม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายโกวิทย์ ธารณา รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนาวาอากาศตรี ดร.ปุญณัฐส์ นำพา รองเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านกฎหมาย ครั้งที่ 2 แก่สมาชิกพรรคและประชาชนทั่วไป โดยมีนางสาวอรัญญา มณีแจ่ม ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตจตุจักร พรรครวมไทยสร้างชาติ นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน ณ ลานกีฬาชุมชนภักดี เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
นายชัชวาลล์ กล่าวว่า ตลอด 2 ปีเศษที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีโอกาสเข้าไปกำกับดูแลกระทรวงพลังงาน ทำให้ราคาด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น ค่าไฟ ลดลงจากหน่วยละ 4.70 บาท ในช่วงก่อนที่นายพีระพันธุ์เข้ารับตำแหน่ง ลงมาเหลือหน่วยละ 3.94 บาท ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประชาชนสามารถประหยัดเงินในการจ่ายค่าไฟฟ้ารวมกันได้มากถึง 2 แสนกว่าล้านบาท รวมทั้งยังได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างราคาน้ำมันให้มีความเหมาะสม เป็นธรรม ด้วยการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกมาถึง 2 ฉบับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่พี่น้องประชาชน
“ผลงานที่ผ่านมาของท่านพีระพันธุ์ ทำให้ผมยังอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อสนับสนุนคนดี คนตั้งใจจริงที่พยายามทำทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและประชาชน” นายชัชวาลล์กล่าว
นายชัชวาลล์ ยังขอให้พี่น้องประชาชนชาวจตุจักรสนับสนุนนางสาวอรัญญา มณีแจ่ม ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ และพร้อมจะเข้าสภาไป 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ให้กับชาวจตุจักรได้อย่างแน่นอน
ในส่วนการอบรมความรู้ด้านกฎหมายให้แก่ชาวชุมชนภักดีและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในสังคมนั้น นายอรรถวิชช์ ได้บรรยายความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพลังงานว่า หากเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนแล้ว ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ค่าไฟฟ้าแพงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ประเทศไทยไปเซ็นสัญญาผลิตและใช้ไฟฟ้าในอัตรากำลังผลิต 55,000 เมกกะวัตต์ แต่ใช้ไปจริงเพียง 30,000 เมกกะวัตต์ ทำให้ต้องจ่ายค่าไฟส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้จริงถึง 20,000 กว่าเมกกะวัตต์ ซึ่งประชาชนต้องมาแบกรับภาระ ขณะเดียวกันเทรนด์ของโลกกำลังมุ่งสู่พลังงานสะอาด หากประเทศใดไม่หันมาใช้พลังงานสะอาดก็ต้องเผชิญกับภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่สูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขายสินค้าไม่ได้ ไม่เกิดการลงทุนในประเทศไทย เกิดปัญหาการว่างงาน และสร้างความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจตามมาเป็นลูกโซ่
“ธุรกิจหลายอย่าง เช่น Data Center อุตสาหกรรมรถยนต์ เขามุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด บางธุรกิจต้องใช้พลังงานสะอาด 100% จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจใหม่ ๆ ถึงไม่มาเปิดที่ประเทศไทย เพราะเราเริ่มถูกกีดกันแล้ว ดังนั้นต้องส่งเสริมการใช้โซลาร์เสรีให้กับประชาชนทันที” นายอรรถวิชช์กล่าว
นายอรรถวิชช์ระบุถึงวิธีแก้ไขปัญหาว่า รัฐจะต้องสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหา เพราะถ้าจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดก็จะต้องรอให้ผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่มีความพร้อมก่อน ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมและทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เสรี ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เองแล้ว ยังตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงานและเทรนด์ของสังคมโลกด้วย นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนการพัฒนาเครื่องอินเวอร์เตอร์ที่เป็นอุปกรณ์สำหรับผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในราคาถูก จากราคาในท้องตลาดที่สูงถึงเครื่องละ 180,000 บาท เหลือเครื่องละ 65,000 บาท และได้ประสาน SME Bank เข้ามาร่วมสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนได้ใช้พลังงานสะอาดอย่างทั่วถึงและครอบคลุมด้วย
นายอรรถวิชช์กล่าวว่า การผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ทางคณะกรรมการกฤษฎีกากลับตีตกร่างกฎหมายดังกล่าวโดยอ้างว่ามีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งไม่เป็นความจริง และหากพรรครวมไทยสร้างชาติได้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง พรรคจะเดินหน้าผลักดันกฎหมายฉบับนี้ต่ออย่างแน่นอน พร้อมกับการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานอื่น ๆ ทั้งค่าไฟ และน้ำมัน ตามที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้วางแนวทางไว้


