xs
xsm
sm
md
lg

จับตา..สถานการณ์น้ำหลังสิ้นสุดฤดูฝน 2568

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



​ประเทศไทยได้กำหนดให้ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมาแล้ว เป็นวันแรกของการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งประจำปี 2568/69 แม้ในหลายพื้นที่ยังมีฝนตกอยู่ก็ตาม แต่มีแนวโน้มลดลง และอากาศเริ่มหนาวโดยเฉพาะในพื้นที่ตอนบนของประเทศ

​การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change) ทำให้อากาศแปรปรวนฤดูกาลผิดเพี้ยนไปจากเดิม การบริหารจัดการน้ำของประเทศหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการวางแผนรับมืออย่างรอบครอบ โดยเฉพาะกรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ 
 
​ในฤดูฝนปีนี้ ประเทศไทยได้รับอิทธิพลทั้งจากพายุโซนร้อนถึง 6 ลูกและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จึงเกิดฝนตกชุกเต่อเนื่องกือบทั่วทั้งประเทศไทย 
 
​โดยพายุลูกแรกที่ส่งผลกระทบต่อไทยคือ พายุวูทิป (Wutip) เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9–15 มิถุนายน 2568 แม้พายุลูกนี้จะไม่เคลื่อนผ่านเข้าไทยโดยตรง แต่อิทธิพลของพายุทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้บางพื้นที่ของภาคอีสานตอนตะวันออกมีฝนตกหนัก ส่วนลูกที่ 2 คือ พายุคาจิกิ (Kajiki) ก่อตัวขึ้นในทะเลจีนใต้และเคลื่อนเข้าสู่ไทย ระหว่างวันที่ 24–27 สิงหาคม 2568 สร้างผลกระทบรุนแรงในภาคเหนือและอีสาน เกิดน้ำท่วมและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยมี 12 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

​สำหรับพายุลูกที่ 3 คือ พายุหนงฟา (Nongfa) เกิดขึ้นต่อเนื่องจากพายุคาจิกา ส่งผลกระทบต่อไทยผ่านร่องมรสุมระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 2 กันยายน 2568 พายุลูกนี้ขึ้นฝั่งเวียดนามกลางเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายลุ่มน้ำใหญ่ โดยเฉพาะลุ่มน้ำป่าสัก น่าน และยม สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมอย่างหนักในจังหวัดเพชรบูรณ์และพิษณุโลก พายุลูกที่ 4 คือ พายุบัวลอย (Bualoi) เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 1 ตุลาคม2568 พายุลูกนี้แม้ไม่ได้เข้าสู่ไทยโดยตรง แต่กลับเสริมกำลังร่องมรสุมให้รุนแรง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักครอบคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคตะวันออก ทำให้มีน้ำท่วมใน 17 จังหวัด กระทบประชาชนกว่า 269,000 คน ถือเป็นพายุที่สร้างผลกระทบรุนแรงที่สุดของปี 2568

​พายุลูกที่ 5 ที่เกิดขึ้น คือ พายุแมตโม (Matmo) เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณมณฑลกว่างซี ทางตอนใต้ประเทศจีน แม้พายุลูกนี้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย แต่อิทธิพลของพายุทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น เกิดฝนตกในช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคม 2568

​หลังจากสิ้นสุดฤดูฝนในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ซึ่งปกติในช่วงนี้จะไม่มีพายุพัดผ่านประเทศไทยแล้ว แต่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนไป ปีนี้จึงมีพายุลูกที่ 6 เกิดขึ้น คือ พายุ “คัลแมกี” 
(Kalmaegi) โดยได้ขึ้นฝั่งที่เมืองเมืองบิ่ญดิ่ญ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 ก่อนที่จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชันเคลื่อนผ่านประเทศลาว และเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง เคลื่อนผ่านภาคกลางตอนบน และภาคเหนือ ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 8-9พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางพื้นที่ บริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลายแห่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา

​นอกจากนี้ยังเกิดภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาในหลายจังหวัด เช่น จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี เป็นต้น ซึ่งกรมชลประทานได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ดังกล่าวได้ รวมทั้งให้เกษตรกรป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร



ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน กล่าวว่า แม้ในปีนี้ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 6ลูกและมีฝนจะตกชุกอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะพายุ “คัลแมกี” ซึ่งน่าจะเป็นพายุลูกท้ายของปีนี้ ทำให้มีปริมาณไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่จากการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิ ภาพ และทำงานในเชิงรุกของกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้เตรียมแผนรับมือตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝน 
โดยได้ดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี2568 ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งได้มีการเฝ้าระวังติดตามเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่าและน้ำฝนอย่างใกล้ชิด ทำให้สามารถบรรเทาความรุนแรงและควบคุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมให้อยู่ในวงจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ แม้จะมีการระบายน้ำสูงสุด ณ เขื่อนเจ้าพระยา (สถานีตรวจวัด C13)ในอัตรา 2,900 ลบ.ม./วินาทีก็ตาม แต่เทียบกับปี 2554 ซึ่งมีการระบายสูงสุดถึง 3,700 ลบ.ม./วินาที ยังต่ำกว่ามาก และหลังจากวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 กรมชลประทานจะลดการระบายน้ำลง นอกจากนี้ยังได้มีการผันน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกสูงสุดรวม 362 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ตลอดจนผันน้ำเข้าไปไว้ในทุ่งรับน้ำ 10 ทุ่ง ล่าสุดมีจำนวน 1,147.64 ล้านลบ.ม.

​หลังจากสิ้นสุดฤดูฝนในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 พบว่า ปีนี้มีพื้นที่ประสบอุทกภัยทั้งสิ้น 54 จังหวัด ขณะนี้ส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด ณ วันที่ 12พฤศจิกายน 2568 พบว่ายังเหลือเพียง 14 จังหวัด ซึ่งกรมชลประทานบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเครื่องมือ เครื่องจักร เครื่องสูบน้ำ ให้การช่วยเหลือจนกว่าสถานการณ์จะปกติ 
 
​นอกจากนี้ในช่วงปลายฤดูฝน ยังได้กักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 ตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย ทำให้ฤดูแล้งในปีนี้อ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก ยกเว้นอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำมูลในเขตจังหวัดนครราชสีมา และอ่างเก็บน้ำสียัด จ.ฉะเชิงเทรา เท่านั้นที่มีปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวในปีนี้มีปริมาณฝนต่ำ อย่างไรก็ตาม พายุ “คัลแมกี” ที่พาดผ่านประ เทศไทยโดยตรงทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง​

​สิ้นสุดฤดูฝนเข้าสู่การบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง ปี 2568/69 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พบว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีทั้งสิ้น 67,568 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็น 88% ของปริมาณการกักเก็บมากกว่าปีที่แล้ว 4,194 ล้าน ลบ.ม. โดยในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนหลักคือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณรวมกัน 23,941 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 96% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาจำนวน 2,253 ล้านลบ.ม. อย่างไรก็ตามในส่วนของลุ่มเจ้าพระยา หลังจากพายุ “คัลแมกี” พัดผ่านทำให้มีปริมาณน้ำไหลอ่างเก็บน้ำของ 4 เขื่อนหลักที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น ณ วันที่ 12พฤศจิกายน 2568 มีปริมาณรวมกัน 24,569 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 99% ของปริมาณการกักเก็บ มากกว่าปีที่ผ่านมาจำนวน 2,618 ล้านลบ.ม.
​สำหรับการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2568/69 กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำในทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ตามลำดับความสำคัญ โดยลำดับแรกเป็นการจัดสรรเพื่อการอุปโภค บริโภค และการประปา รองลงมาเป็นการจัดสรรเพื่อการรักษาระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การผลักดันน้ำเค็ม การขับไล่น้ำเสีย บรรเทาสาธารณภัย จารีตประเพณี และคมนาคม เป็นต้น อันดับถัดมาเป็นการสำรองน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในช่วงต้นฤดูฝนซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2569 จากนั้นถึงจะเป็นการจัดสรรเพื่อการเกษตร การอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ตามลำดับ
















กำลังโหลดความคิดเห็น