‘ปรีติ เจริญศิลป์’ รองประธาน กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ เซ็ง ‘นฤมล’ ไม่มาตามคำเชิญ หวังช่วยงัดเอกสารหลักฐาน ที่ ‘องค์การค้าฯ’ ยื้อไม่ยอมคาย จวกส่งตัวแทนมาแจง กมธ.หลายหน แต่ไม่เคลียร์คัตหลายเรื่อง ยังไม่ท้อร่อน จม.เชิญ ‘ครูแหม่ม’ อีกรอบ ล็อคคิวล่วงหน้า 3 สัปดาห์ เชื่อหาเวลามาได้ แจงเชิญเฉยๆ ไม่ได้ใช้อำนาจ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ เห็นใจเพิ่งมาคุม ศธ. บางเรื่องอาจยังไม่ลึกซึ้ง แถมเจอลวดลาย ‘ขรก.’ อาจมีซุกข้อมูลสำคัญ ถามมีแนวทางลากคอคนปั้นทีโออาร์ขัด กม.อย่างไร
วันนี้ (13 พ.ย.68) นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการประชุม กมธ.ป.ป.ช. ที่มี นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ฯ เป็นประธานในการประชุม เมื่อวันที่ 12 พ.ย.68 ว่า น่าเสียดายที่ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ไม่ได้มาร่วมประชุมตามคำเชิญของ กมธ.ฯ ที่มีวาระการติดตามตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะโครงการจัดจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ องค์การค้าฯ เป็นผู้ดำเนินการในทุกๆ ปีการศึกษา แต่ละปีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านบาท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ข้อครหา และข้อร้องเรียน ที่ส่งมายัง กมธ.ฯ และหน่วยงานตรวจสอบต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ องค์การค้าฯ ก็กำลังเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของปีการศึกษา 2569 วงเงินงบประมาณ 1,010 ล้านบาท น่าจะเป็นโอกาสที่ กมธ.ฯจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และฝากข้อห่วงใยให้กับ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) สกสค.โดยตรง เนื่องจากโครงการนี้มักมีประเด็นข้อครหาทุกปีการศึกษา
“เชื่อว่าท่านรัฐมนตรีคงติดภารกิจจริงๆ เพราะที่ กมธ.ฯ เรียนเชิญมาร่วมประชุมนั้น ก็ไม่ได้เป็นลักษณะการตรวจสอบ แต่อยากให้ รมว.ศึกษาธิการ นำข้อมูล หรือชี้แจงในบางประเด็นที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือเอกสารอ้างอิงจากทาง ผู้แทนองค์การค้าฯ ที่เคยรับปาก กมธ.ฯไว้ แต่ยังไม่ได้ส่งมา รวมทั้งถือโอกาสฝากข้อคิดเห็น และข้อห่วงใย เพื่อให้ท่านรัฐมนตรีนำไปกำกับดูแลให้การผลิตหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาฯ ทั้งปีการศึกษาหน้า และต่อๆไป ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ” นายปรีติ ระบุ
นายปรีติ กล่าวด้วยว่า กรณีการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของ องค์การค้าฯ มีการนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม กมธ.ฯ หลายครั้ง ซึ่งก็มี ผู้แทนองค์การค้าฯ ผลัดเปลี่ยนเข้ามาชี้แจงในที่ประชุม กมธ.ฯ แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่ ผู้แทนองค์การค้าฯ ไม่สามารถชี้แจงให้ กมธ.สิ้นสงสัยได้ หลายๆ เรื่องก็ขอกลับไปค้นข้อมูลเพื่อนำส่งเป็นเอกสาร แต่ก็ยังส่งมาให้ไม่ครบ ราวกับมีเรื่องปิดบังซ่อนเร้น กลับไปเป็นแดนสนธยาเหมือนในอดีต จน กมธ.ฯ ต้องไปสืบค้นขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นแทน อย่างกรณีค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนของ สพฐ. ที่เพิ่งพบว่า องค์การค้าฯ ค้างจ่ายมากว่า 10 ปี ยอดรวมกว่า 219 ล้านบาท ที่น่าตกใจคือ 2 หน่วยงานไม่ได้ทำสัญญาข้อตกลงระหว่างกัน ทั้งที่มีกำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงศึกษาฯ รวมทั้งยังได้ข้อมูลมาว่าตลอดเกือบ 10 ปีมานี้ ทาง สพฐ.ก็ไม่มีการทวงถามเป็นกิจลักษณะ ส่วน องค์การค้าฯ เองก็ไม่แจ้งผลัดผ่อนการชำระหนี้เหมือน ต่างจากค่าลิขสิทธิ์หลักสูตรของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ที่ องค์การค้าฯ ชำระครบถ้วนทุกๆปี ทั้งที่อ้างอิงระเบียบกระทรวงศึกษาฉบับเดียวกัน กรณีเช่นนี้จะดำเนินการอย่างไร
นายปรีติ กล่าวอีกว่า หรือการที่ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง ได้วินิจฉัยว่า การกำหนดขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ปีการศึกษา 2567 และปีการศึกษา 2568 ขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเมื่อมีการแจ้งผลพิจารณาให้แก่ทาง สกสค. รับทราบเพื่อดำเนินการต่อไปมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบแสวงหาข้อเท็จจริง หรือการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการร่างทีโออาร์ที่เนื้อหาขัดต่อกฎหมาย ตลอดจนไล่ตรวจสอบความเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้าราชการ และเอกชน เพราะหลายข้อบ่งชี้ทำให้เชื่อได้ว่า อาจมีลักษณะเข้าข่ายการทุจริตเป็นขบวนการ เชื่อว่าหลายๆข้อมูลที่ กมธ.ฯ ได้มาจากแหล่งอื่น เป็นข้อมูลที่ รมว.ศึกษาธิการ อาจจะไม่ได้รับรายงานที่ครบถ้วนจากข้าราชการ ที่อาจจะตกหล่นโดยพลั้งเผลอ หรือตั้งใจให้ตกหล่น เพราะหาก รมว.ศึกษาธิการ มีข้อมูลชุดเดียวกับ กมธ.ฯ คงอยู่เฉยไม่ได้แน่นอน
“เพื่อประโยชน์ต่อวงการศึกษา บุคลากรทางการศึกษา และน้องๆ นักเรียนอนาคตของชาติ ในการผลักดันโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน ปีการศึกษา 2569 และปีต่อๆไป มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่คุณภาพแบบเรียน และงบประมาณที่ต้องสูญเสียไป กมธ.ฯจึงมีมติเชิญ รัฐมนตรีนฤมล ร่วมการประชุม กมธ.ฯ อีกครั้ง ในวันที่ 3 ธ.ค.68 นี้ เพื่อเรียกข้อมูลจากหน่วยงานมาชี้แจงต่อ กมธ. พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น รวมถึงข้อห่วงใยจาก กมธ.ฯ ไปปรับจูนโครงการฯ ให้ถูกต้องชอบธรรม ตั้งแต่ต้นจนจบ” นายปรีติ กล่าว
นายปรีติ กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าการทำหนังสือเชิญ รมว.ศึกษาธิการ ครั้งนี้เป็นเพียงการเชิญมาแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นเท่านั้น ไม่ใช่การเชิญมาเพื่อตรวจสอบ จึงไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียกคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2568 แต่อย่างใด เพราะแง่หนึ่งก็ต้องเห็นใจ นางนฤมล ที่เพิ่งเข้ามาเป็น รมว.ศึกษาธิการ แล้วต้องมาเจอกับปัญหาเรื้อรังเช่นนี้ ซึ่ง กมธ.ฯเองก็มีความปรารถนาที่ช่วยให้ นางนฤมล ทำงานง่ายขึ้น หรือไม่เข้าใจผิดรับข้อมูลจากรายงานของหน่วยงานด้านเดียว โดยการออกหนังสือเชิญล่วงหน้าถึง 3 สัปดาห์ หากไม่มีเหตุฉุกเฉิน ก็เชื่อว่าทางรัฐมนตรีจะสามารถจัดสรรเวลาให้กับ กมธ.ฯ ได้ไม่ยาก นอกจากนี้ในหนังสือฉบับเดียวกันนี้ก็ได้ระบุถึงประเด็นที่จะสอบถาม อาทิ แนวนโยบายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าฯ และแนวทางดำเนินการตามผลพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง เป็นต้น พร้อมทั้งแนบรายงานการติดตามตรวจสอบองค์การค้าฯ ที่ผ่านมาของ กมธ.ป.ป.ช.ไปเป็นข้อมูลด้วย เพื่อที่ รมว.ศึกษาธิการ จะสามารถเรียกข้อมูลมาประกอบการชี้แจงได้อย่างตรงประเด็น และส่งเป็นลายลักษณ์อักษรมาก่อนที่จะมาร่วมประชุมหารือด้วยตัวเอง น่าจะเป็นหนทางในการร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ไขปรับปรุงการผลิตแบบเรียน ดีกว่าการส่งข้าราชการที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องมาเป็นผู้ชี้แจงแทน เพราะค่อนข้างมีข้อจำกัดในการตอบคำถามที่อาจไปล้ำเส้นหน้าที่รับผิดชอบของผู้อื่น
“ส่วนการที่ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะประธานบอร์ด สกสค.ให้นโยบายในการเชิญหน่วยงานตรวจสอบ อาทิ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ), สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) รวมถึงองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ACT) ร่วมสังเกตการณ์กระบวนการโครงการจ้างผลิตแบบเรียนของปี 2569 ก็บ่งชี้ว่า อาจารย์นฤมลท รับทราบถึงปัญหา แตืส่วนตัวยังเห็นว่า จะอัญเชิญอรหันต์ที่ไหนมานั่งจับผิด อาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก เพราะหาก องค์การค้าฯ ตรงไปตรงมาตามหลักการ และระเบียบ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ยึดถือการประมูล E-Bidding อย่างเคร่งครัด ไม่คิดหาวิธีพิสดารมายกเลิกประกาศประกวดราคา เพื่อที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีการคัดเลือก ซึ่งโปร่งใสน้อยกว่า เพียงเท่านี้ก็คงไม่จำเป็นต้องไปรบกวนหน่วยงานอื่นต้องมาคอยจับผิดเช่นนี้” นายปรีติ ระบุ.


