เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ถนนวิภาวดี นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อบริหารจัดการน้ำตามสถานการณ์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ภายหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานะการณ์ฝนตกหนักในปี 68 เหนือเข่อนเจ้าพระยาเป็นอันดับ 2 รองจากปี 65 โดยฝนมีค่าเฉลี่ยประมาณ 27.7 เปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าค่าเฉลีย ทำให้เดือนพฤศจิกายนมีฝนตกหนักมาก ทำให้เดือนตุลาคมมีการระบานน้ำค่อนข้างเยอะ ซึ่งตามปกติเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นหน้าหนาวแล้ว แต่กลับมาเจอพายุคัลแมกี จึงทำให้มีน้ำเข้าเขื่อนภูมิพล 540 ล้านลูกบาศก์เมตร ทุกวัน ซึ่งเรามีช่องส่าเหลืออยู่ประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงมีความจำเป็นต้องระบายร้ำที่เขื่อน ภูมิพลผ่านช่องทางปกติซึ่งเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเขื่อน โดยในวันนี้จะระบายที่ 48 ล้านลูกบาศก์เมตร วันพรุ่งนี้ 11 พฤศจิกายน เป็น 53 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และในวันที่ 12 พฤศจิกายนจะปรับการระบายน้ำเป็น 55 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และหากมีความจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มอีกจะระบายน้ำสูงสุดอยู่ที่ 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ฉะนั้นถ้าระบายที่ 50 ล้านลูกบาศก์เมตรมวลน้ำจุดนี้ก็จะไหลไปที่นครสวรรค์ ซึ่งคาดการสูงสุด 3100 ลูกบาศก์ลิตรต่อวินาที จะทำให้จังหวัดอุทัยธานีได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นจุดต่ำ และบริเวณจังหวัดชัยนาทในพื้นที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งจะมีการโครงการระบายน้ำให้อยู่ที่ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อระบายน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาจังหวัดชัยนาท แต่ในช่วงวันสองวันพยากรณ์อากาศระบุว่าอาจมีฝนตกลงมา บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งอาจมีความจำเป็นปรับการระบายน้ำไปถึง 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ขณะที่วันนี้มีการปรับการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เริ่มมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม คือจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาได้มีการก่อกระสอบทรายกั้นน้ำ แต่บางจุดถูกน้ำท่วมมานานกระสอบทรายก็ชำรุดเกิดแตกและมีน้ำทะลักท่วมชุมชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็พยายามเข้าไปซ่อมแซม เพื่อสร้างแนวป้องกันน้ำให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ
ส่วนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางบาล หัวเวียง เสนา และผักไห่ ชาวบ้านต้องอาศัยอยู่กับน้ำท่วมมานาน 4 เดือนแล้ว จนเห็นบรรยากาศของการรวมตัวของชาวบ้านเพื่อร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ประสานไปยังกรมชลประทานให้เพิ่มการระบายน้ำ ช่วงประตูระบายน้ำบางกุ้งและประตูระบายน้ำขนมจีน ตลอดจนการระบายน้ำเข้าทุ่งรับน้ำ ซึ่งกรมชลประทานจะต้องรอบคอบในการระบายน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน
ส่วนที่จังหวัดปทุมธานีได้รับผลกระทบจากอิทธิพลน้ำทะเลหนุนสูงตั้งแต่วันนี้ไปถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน จึงเห็นภาพบริเวณศาลากลางหลังเก่าของนนทบุรี ถนนพระราม 5 ที่มีน้ำท่วมขัง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว
ยืนยันว่าการระบายน้ำในปีนี้อยู่ที่ 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็นการระบายน้ำที่น้อยกว่าปี 54 เพราะปีที่น้ำท่วมนั้นมีการระบายน้ำถึง 3,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ยังต่ำกว่าปี 54 จำนวน 900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทำให้คนกรุงเทพฯยังไม่ต้องกังวลใจอะไร อาจจะเห็นน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยากระฉอกข้ามพันกั้นน้ำมาเป็นเพียงสถานการณ์น้ำทะเลหนุนเท่านั้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำสูบกลับเข้าแม่น้ำเจ้าพระยารับมือสถานการณ์ไว้แล้ว และเตรียมแผนการระบายน้ำลงสู่คลองต่างๆในกรุงเทพมหานคร


