xs
xsm
sm
md
lg

“อนุดิษฐ์” ชี้ข้อมูลหลุดคือหายนะประเทศ ถึงต้องเอาผิดหน่วยงานที่บกพร่อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อนุดิษฐ์” ชี้ข้อมูลหลุดคือหายนะประเทศ จี้ภาครัฐ–เอกชนรับผิดชอบต้นทางสแกมเมอร์ ถึงเวลารัฐบาลต้องเอาผิดหน่วยงานที่บกพร่อง ปล่อยให้ข้อมูลคนไทยหลุดสู่ตลาดมืด


น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม กล่าวว่า นอกจากปัญหาจากแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ไทยยังกำลังเผชิญ “วิกฤติการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล” อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้มิจฉาชีพออนไลน์สามารถเข้าถึงเหยื่อได้อย่างแม่นยำและแนบเนียน จนสร้างความเสียหายต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทยรวมหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุว่า ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ บริษัทโทรคมนาคม ธนาคาร โรงพยาบาล และแพลตฟอร์มออนไลน์ ถูกนำไปขายในตลาดมืด (Dark Web) อย่างกว้างขวาง มิจฉาชีพสามารถซื้อข้อมูลได้เหมือนซื้อสินค้าออนไลน์ทั่วไป ก่อนนำไปใช้สร้างการหลอกลวงรูปแบบต่าง ๆ เช่น Phishing, Deepfake, Social Engineering และ แอปพลิเคชันปลอม

อดีต รมว.ดีอีฯ เปิดเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกรณีข้อมูลหลุดหลายครั้งที่สร้างความตื่นตระหนกและบั่นทอนความเชื่อมั่นของสังคมไทย อาทิ

- ฐานข้อมูลประชาชนกว่า 55 ล้านราย ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ มีข้อมูลชื่อ–สกุล หมายเลขบัตรประชาชน และวันเดือนปีเกิดครบชุด และหลายรายถูกนำไปใช้ทำธุรกรรมปลอมและเปิดบัญชีธนาคาร

- ข้อมูลลูกค้าผู้ให้บริการโทรคมนาคมกว่า 8 ล้านราย รั่วไหลพร้อมเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ ทำให้เกิดการโทรหลอกลวงและส่ง SMS ปลอมทั่วประเทศ

- ข้อมูลผู้ป่วยกว่า 10 ล้านรายการ จากโรงพยาบาลรัฐหลุดสู่สาธารณะ มีผลตรวจและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นร้ายแรง

- รวมถึง กรณีต่างประเทศ เช่น การแฮก Equifax และ Facebook ที่ทำให้ข้อมูลผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลกถูกเผยแพร่ในตลาดมืด

น.อ.อนุดิษฐ์ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แล้ว แต่ประชาชนยังไม่รู้สึกปลอดภัย เพราะกลไกการบังคับใช้ไม่เข้มงวด และไม่มีบทลงโทษจริงจังต่อองค์กรที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหล ประชาชนถูกล่อลวงทุกวัน แต่ต้นทางที่ทำหลุดกลับไม่โดนเอาผิด แถมไม่ยอมแก้ไข และผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่สามารถตามเงินคืนได้เลย สิ่งนี้ไม่มีประชาชนคนไหนยอมรับได้

อดีต รมว.ดีอีฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบเชิงลึกถึงต้นตอของการรั่วไหล ทั้งในหน่วยงานรัฐและเอกชน โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีประวัติ “ข้อมูลหลุดซ้ำซาก” เช่น หน่วยงานทะเบียน ประกันสังคม สาธารณสุข สถาบันการเงิน รวมถึงองค์กรรัฐ-เอกชน ภายใต้การกำกับของ กสทช.

น.อ.อนุดิษฐ์ เน้นย้ำว่า หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางไซเบอร์ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่รอเกิดเหตุ แล้วค่อยให้รัฐบาลออกแถลงข่าว “ปลอบใจประชาชน” ภายหลัง แต่ต้อง ลงมือป้องกันเชิงรุก ตรวจสอบระบบ และเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะ

นอกจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ ยังเรียกร้องให้หน่วยงานที่เก็บข้อมูลประชาชนต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัย และยกระดับมาตรฐานให้ทัดเทียมสากล เช่น ISO/IEC 27001, NIST Cybersecurity Framework และ Zero Trust Architecture เพราะหน่วยงานที่เก็บข้อมูลประชาชนคือต้นทางของสแกมเมอร์อย่างแท้จริง ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ถึงเวลาต้องตรวจสอบระบบเป็นประจำ และต้องทำให้สังคมมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหลอีก เพื่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นจริยธรรมพื้นฐานของทุกองค์กรที่ถือครองข้อมูล

ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรมเสนอให้ยกระดับ “ภัยไซเบอร์” เป็นวาระแห่งชาติ โดยมี 3 กลไกหลักในการขับเคลื่อน ได้แก่
1. ประชาชน ต้องรู้เท่าทันและป้องกันตนเองจากกลโกงออนไลน์
2. หน่วยงานรัฐ ต้องมีระบบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระดับชาติ ที่เป็นมาตรฐานสากล โดยมีกลไกตรวจสอบและกำกับจริง ไม่ใช่แค่ตั้งคณะกรรมการ
3. ภาคเอกชน ต้องลงทุนเสริมเกราะป้องกันข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

“ประชาชนเป็นเจ้าของข้อมูล แต่กลับต้องกลายเป็นเหยื่อ เพราะข้อมูลจริงที่ภาครัฐ ภาคเอกชน เอาของเขาไปเก็บไว้ หลุดออกไปอยู่ในมืออาชญากรเพิ่มขึ้นทุกวัน ข้อมูลที่รั่วแล้ว ไม่มีวันเรียกคืนได้อีก ถูกขายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้มิจฉาชีพมีแหล่งหากินไม่รู้จบ ประเทศจึงไม่มีวันหยุดโดนหลอก หากไม่จัดการที่ต้นตออย่างเด็ดขาด ข้อมูลของประชาชนคือสมบัติของชาติ การปกป้องข้อมูลคือความมั่นคงของประเทศ” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น