วันนี้ (9 พ.ย. 2568) น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมาย ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมตั้งแต่ต้นปี 2568 ว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ แต่จนถึงขณะนี้ 180 วันผ่านไป หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกลับยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมายหลัก โดยเฉพาะพ.ร.บ.สัญชาติ , ประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้องกับการรับบุตรบุญธรรม ที่สำคัญ พ.ร.บ.อุ้มบุญ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมีบุตรด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยในมาตรา 21 ของกฎหมายฉบับนี้ เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้สิทธิเฉพาะคู่สมรสที่เป็นชายและหญิงทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันไม่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ แม้จะมีความตั้งใจจริงในการมีบุตร และมีศักยภาพที่จะเลี้ยงดูเด็กอย่างมั่นคง การติดขัดทางข้อกฎหมายนี้
ผลของการไม่แก้กฎหมายลูกดังกล่าว ทำให้ในความเป็นจริงเกิดความเสี่ยงจากการหลบเลี่ยงกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวเปิดช่องให้เกิดการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยมีรายงานว่า บางคลินิกที่ทำกิ้ฟอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม หรือกระทั่งมีการ แอบดำเนินการโดยหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นการผลักดันให้คู่รักเพศเดียวกันต้องเข้าสู่กระบวนการที่ไม่โปร่งใสและไม่ปลอดภัย
"การออกกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว แต่กลับเพิกเฉยต่อการแก้ไขกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องถือเป็นการ จำกัดสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการสร้างครอบครัวของคู่สมรสเพศเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเสนอการแก้ไขโดยเร็วที่สุด อย่าปล่อยให้ความล่าช้าทางกฎหมายสร้างภาระและความเสี่ยงให้กับประชาชนที่ต้องการเป็นพลเมืองดีและสร้างครอบครัวที่อบอุ่น" น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ ระบุว่า ตนขอส่งข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล ให้เร่งแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน ดังนี้
1. เร่งรัดการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่าง ประมวลรัษฎากร พ.ร.บ.อุ้มบุญ , พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ , พ.ร.บ. สัญชาติ ให้แล้วเสร็จโดยทันที เพื่อให้สิทธิของคู่สมรสเพศเดียวกันมีความสมบูรณ์
2.รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนและกลไกที่โปร่งใสเพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและได้รับสวัสดิการที่เท่าเทียม
3. ยุติความล่าช้า การเลยกรอบเวลา 180 วันที่กำหนดไว้ ถือเป็นความบกพร่องที่รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ และกำหนดกรอบเวลาการดำเนินการใหม่ที่ชัดเจนและรวดเร็ว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่า หากรัฐบาลยังคงปล่อยให้ความล่าช้าทางกฎหมายนี้ดำเนินต่อไป อาจเท่ากับเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเจตนารมณ์ของสมรสเท่าเทียม และตอกย้ำความรู้สึกว่ากลุ่ม LGBTQ+ ยังคงเป็นพลเมืองชั้นสองที่ถูกจำกัดสิทธิในการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย


