xs
xsm
sm
md
lg

วัยรุ่น-วัยทำงานไทย เสี่ยงโรคNCDsเพิ่ม อ้วน-บุหรี่ไฟฟ้า-ออกกำลังกายน้อย ดันเบาหวานพุ่ง 45 เท่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



3 องค์กรสุขภาพ รามาฯ - สวรส- สสส. เผยผลสำรวจสุขภาพคนไทย พบอายุ 15–34 ปี เสี่ยงโรคเรื้อรังNCDs เพิ่มขึ้นน่าตกใจ ทั้ง อ้วน -บุหรี่ไฟฟ้า-อาหารหวานมันเค็ม ออกกำลังกายน้อย จุดชนวนสุขภาพพัง ชี้ “นโยบายสาธารณะล้มเหลว” ทำไทยสอบตกตัวชี้วัดอนามัยโลก จี้เร่งปรับทิศใหม่ก่อนประเทศจมบ่วงโรค NCDs เผยพร้อมส่งต่อข้อมูลวาง Roadmap แก้ปัญหาสุขภาพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วันนี้(9พ.ย.)คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงผลการสำรวจครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย” ภายใต้การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES) รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวว่า การสำรวจนี้ต่างการสำรวจโดยทั่วไปเพราะจะมีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดของกลุ่มตัวอย่างด้วย ทำให้ผลสำรวจมีความน่าเชื่อถือกว่าข้อมูลจากการบอกเล่าเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเป็นการสุ่มประชากรรายบุคคลไม่ใช่การรับสมัครผู้เข้าร่วม มีการกำหนดพื้นที่ ช่วงอายุที่ต่างกัน เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสำรวจที่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศ ผู้ที่ถูกสุ่มให้เข้าร่วมโครงการยังได้รับทราบถึงสุขภาพของตัวเอง โดยผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งนี้ พบว่า คนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน หรือกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ จะมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี

“อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลยจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากสูบบุหรี่ อ้วน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง จะเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงถึง 45.2% และที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบว่าในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่ามีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี”


ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า การสำรวจแต่ละครั้งเราต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงควรต้องมีการนำไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด หน่วยงานด้านสุขภาพ สมาคมแพทย์โรคที่เกี่ยวกับ NCDs ควรจะได้นำข้อมูลที่ได้นี้ไปใช้เพื่อวางแนวทางในการแก้ปัญหา เพราะ NCDs ไม่ใช่เป็นหน้าที่เฉพาะของกระทรวงสาธารณสุข หรือ สสส. ตามที่มีหลายฝ่ายเข้าใจ แต่ต้องมีการดำเนินการของกระทรวงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มาตรการทางภาษี การบังคับใช้กฎหมายและควบคุมการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ การจัดการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมดี ลดพฤติกรรมเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องบุหรี่แม้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมยาสูบจังหวัดที่ประกอบด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลับพบว่ามีเพียง 20 จังหวัดจากทั้งหมดทั่วประเทศเท่านั้นที่มีการประชุมในปีที่ผ่านมา แล้วมาตรการควบคุมยาสูบจะดำเนินตามแผนได้อย่างไร

“วิกฤตค่าใช้จ่ายการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในกลุ่ม NCDs และจะมีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น หากนโยบายสาธารณะไม่เคลื่อน ไม่ว่า สสส.จะรณรงค์ให้ความรู้อย่างไรก็คงจะไม่เป็นผล หากถามว่าการจัดการ NCDs ของไทยยังไม่ได้ผลเกิดจากอะไร ตอบได้เลยว่า เป็นความล้มเหลวของนโยบายสาธารณะ ดังนั้นจะต้องมีทั้งกฎหมาย นโยบายด้านภาษี และการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะอย่างแท้จริง เพราะถ้านโยบายสาธารณะล้มเหลว ทุกอย่างก็จะล้มเหลวหมด ทั้งเรื่องบุหรี่ ภาษีน้ำตาล ภาษีเกลือ ดังนั้นผลสำรวจจะต้องส่งต่อไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป”


ขณะที่ รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อฯ กล่าวว่า ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยฯ ครั้งที่ 7 นี้ จะเห็นได้ว่าสำหรับเป้าหมายแรกที่กำหนดว่าประชากรในประเทศจะต้องรับรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานอย่างน้อยร้อยละ 80 อาจจะไม่เป็นปัญหา เพราะปัจจุบันทำได้ร้อยละ 73 แต่ที่เป็นปัญหาคือผู้ป่วยเบาหวานจะต้องสามารถควบคุมโรคให้ได้ร้อยละ 80 ด้วย ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้พบว่าผู้ป่วยเบาหวานชาวไทยนั้นควบคุมโรคได้ดียังไม่ถึงร้อยละ 40

“การสื่อสารข้อมูลจากการสำรวจฯ ให้เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนแต่ละกลุ่ม มีความสำคัญ เพราะปัจจุบันยังมีการให้ข้อมูลผิด ๆ โดยอินฟลูเอนเซอร์ทั้งที่เป็นแพทย์และไม่ใช่แพทย์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งควรจะมีการควบคุมอย่างจริงจังเหมือนเช่นประเทศจีนที่เริ่มดำเนินการแล้ว กระแสสังคมเองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างช่วงลอยกระทงที่ผ่านมา ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับเงียบเหงา แต่ทุกคนกลับไปรวมตัวกันอยู่ที่งานลอยกระทงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งคนที่ไปร่วมงานก็ไม่ได้แสดงออกถึงประเพณีแต่กลับเน้นไปที่การรับประทานอาหารและขนมที่มาครบทั้งหวาน เผ็ด มัน เค็ม คนที่บริโภคส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งตรงกับผลสำรวจที่พบว่ามีภาวะโรคอ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการใช้โซเชียลมีเดียในการกระตุ้นให้เกิดกระแสตอบรับ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์และผู้ผลิตจึงควรตระหนักถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของผู้บริโภค”

ด้าน นพ.กฤษดา หาญบรรเจิด ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ที่เป็นผู้สูงอายุ แต่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ยังไม่เข้าถึง กระทรวงสาธารณสุขมีแนวนโยบายในการเพิ่มการให้บริการช่วงนอกเวลา เพื่อเพิ่มความสะดวก ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการรณรงค์ในเรื่องอาหารปลอดภัยที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าแนวทางนี้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งในทุกจังหวัด แต่ในส่วนของโรงเรียนทางกรมอนามัยดูแลเด็กได้ดีอยู่แล้ว


พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย เสริมว่า การดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs ไม่ใช่แค่เรื่องยาแต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจากการตรวจของหมอแล้วจึงต้องมีสหวิชาชีพมาร่วมด้วยทั้งพยาบาล และนักกำหนดอาหาร นอกจากนี้ยังมีการอบรบหลักสูตรเพิ่มเติมให้กับนักเรียนแพทย์เพื่อรับมือกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมไปถึงการอบรม อสม.เพื่อลงไปดูแลในระดับชุมชนอย่างใกล้ชิดด้วย

“อย่างที่เห็นจากผลการสำรวจว่ากลุ่มเด็กมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ผู้ป่วย NCDs เพิ่มมากขึ้น กรมอนามัยเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่รณรงค์ให้ดื่มนมแม่ ที่มีผลการวิจัยแล้วว่าช่วยลดภาวะ NCDs ได้ ต่อด้วยนโยบายโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพที่จะปลูกฝังพฤติกรรมการบริโภคให้กับเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในโรงเรียน แต่จะเชื่อมไปที่บ้าน ในชุมชน พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็จะต้องมีความรู้ในการดูแลตัวเองและบุตรหลานด้วย”

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ สช. กล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะนำเสนอผลการสำรวจฯ นี้ให้ประชาชนตระหนักถึงโรค NCDs เพราะวิวาทะเรื่องโรงพยาบาลขาดทุน สปสช.ค้างจ่าย จ่ายไม่ครบ หรือจ่ายช้า ระบบสุขภาพกำลังจะล่ม ข้อมูลจากการสำรวจครั้งนี้สามารถนำไปโยงกับข้อมูลในพื้นที่และเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้เป็นหลักในการแก้ปัญหาสุขภาพแบบเชิงรุกโดยชุมชน นำเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาใช้เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หากหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพจะทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แต่หากไม่ทำเงินในกระเป๋าก็จะหายไปกับการรักษาพยาบาล

“สิงคโปร์เองมีนโยบายเรื่องโรคเบาหวานเป็นวาระแห่งชาติที่ทำต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ มันไม่มีทางรอดนะ ถ้าเราจะฉายแสงกันทุกจังหวัด เราจะล้างไตกันทุกอำเภอ เรื่องสุขภาพดีมีเงินเหลือผมเคยทำมาก่อนแล้วเมื่อสมัยที่อยู่โรงพยาบาลเทิง ให้เจ้าหน้าที่เก็บเงินคนละ 10 บาท ที่เคยจ่ายเป็นค่าเหล้า ค่าบุหรี่ เปลี่ยนมาเป็นเงินออม ทุกคนก็จะมีเงินเหลือและมีสุขภาพดีด้วย ซึ่งสามารถปรับขึ้นไปใช้ในระดับชาติได้ด้วย คนที่ไม่ป่วยต้องมีตังค์”


ขณะที่องค์การอนามัยโลกมีแนวทาง NCDs Best Buys ที่กำหนดมาตรฐานและรูปแบบการดำเนินงานในการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค NCDs เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับนานาประเทศในการต่อสู้กับ NCDs
ดร.สุชีรา บรรลือศิลป์ WHO Thailand กล่าวว่า ความสูญเสียที่เกิดจาก NCDs มากถึงประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ไม่ใช่แค่ในเรื่องของสุขภาพ แต่รวมถึงการเสียชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากร ซึ่งส่งผลถึงการสูญเสียประสิทธิภาพของประเทศ NCDs จึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่อยงานหนึ่ง แต่ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันแก้ปัญหา
“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพภาพอย่างตอนที่เรามีโควิด แล้วมองว่าเป็นปัญหาของประเทศให้มีการจัดตั้งวอร์รูมระดับประเทศ มีการออกนโยบายทุกๆกระทรวงจริงจังในการออกมาตรการแล้วก็ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ซึ่งถ้า NCDs เป็นรูปแบบนั้นได้ก็น่าจะเป็นอีกทางออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตที่อยากให้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะการป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดคุ้มค่ากว่าการที่จะต้องตามมารักษา เพราะไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แน่นอนว่านโยบายนี้อาจจะกระทบกับภาคเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมรายย่อย แต่หากจะร่วมปรับตัวไปด้วยกัน มองว่าเป็นภัยร่วมกันของประเทศ ทุกหน่วยงานก็น่าจะลงทุนกับสิ่งนี้ได้มากขึ้น ในส่วนของผู้บริโภคก็เข้าใจได้ว่าอยากจะขอมีความสุขกับอาหารตรงหน้าในวันนี้ก่อน แต่ก็อาจจะต้องมีมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเหมาะสมด้วย ทุก ๆ ภาคส่วน ทั้งเอกชน ภาคประชาสังคม สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการมีสุขภาพดีได้”


นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ได้นำข้อมูลจากการสำรวจฯ นี้มาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยงมีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง

“การจะควบคุมโรค NCDs ให้ได้ผล ต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ควรกำหนดให้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน เป็นตัวชี้วัดในการดำเนินงานและให้มีการคัดกรองร่วมกับการคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และควรขยายการคัดกรองที่ปัจจุบันคัดกรองคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ครอบคลุมกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือโครงการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ควรเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น”


กำลังโหลดความคิดเห็น