“จุลพันธ์” มั่นใจเป้า 200 ที่นั่ง ตามเป้า ยอมรับพรรคเพลี่ยงพล้ำแต่กระแสยังไม่ตก ขอไม่ตอบตระกูล “คุณปลื้ม” ยังอยู่พรรคหรือไม่
วันนี้ (7 พ.ย.) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดตัวผู้สมัครวันนี้ ว่า พรรคเพื่อไทยมีความมั่นใจ เพราะได้คัดสรรผู้สมัครอย่างดี แต่ละเขตเลือกตั้งมีการสัมภาษณ์ไม่ต่ำกว่า 3-5 คน โดยดูคนที่มีอุดมการณ์ มีแนวความคิดที่ตรงกัน สนับสนุนแนวคิด และสนับสนุนยุทธศาสตร์ของพรรคมาตลอด จะเห็นว่า ผู้สมัครครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทยมีความหลากหลาย มีทั้งคนที่เป็นเครือข่ายเก่า อาจจะเป็นคนที่เคยลงสมัครแล้ว รวมถึงคนที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งมีที่มาหลายแบบ บางคนทำงานกับพรรคมาอย่างยาวนาน แต่อยู่เบื้องหลัง เป็นทีมนโยบาย ทีมนักคิด คอยช่วยในเชิงนโยบาย ซึ่งพรรคเห็นแวว และความสามารถ ซึ่งก็มีความประสงค์ที่จะลงสมัคร จึงคัดสรรมาเป็นผู้สมัครในวันนี้ บางคนสมัครผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งวันที่พบกันครั้งแรก ว่า ทำไมเรายังถามว่าทำไมถึงเพิ่งพบกัน เพราะเป็นคนที่มีศักยภาพสูงมาก วันนี้มีผู้สมัครที่หลากหลาย พรรคเพื่อไทยดูเรื่องอุดมการณ์ และโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. ซึ่งจากการคัดสรรอย่างละเอียดถี่ถ้วน เปิดตัวบุคลากรที่เปิดตัวไปแล้ว เป็นคนที่พรรคมีความเชื่อมั่นว่า จะชนะเลือกตั้ง วันนี้เปิดตัวไปแล้ว 265 เขตเลือกตั้ง นำหน้าพรรคอื่นไปเยอะ ส่งสัญญาณว่าวันนี้พรรคเพื่อไทยพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม
เมื่อถามว่า จากหน้าตาของผู้สมัคร และศักยภาพ ยังตั้งเป้าหมายอยู่ที่ 200 เขต หรือ มองมากกว่านั้นหรือไม่อย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แน่นอน ตอนนี้ยืนอยู่ข้าง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ก็มีความมั่นใจ พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคขนาดเล็ก มีเกียรติประวัติยาวนาน มีผลงานให้กับประชาชน นโยบายหลายอย่างยังติดตราตรึงใจ ซึ่งคิดว่า 90% มาจากไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย ทั้งนั้น ดังนั้น สิ่งที่ได้ทำมายังอยู่ในหัวใจประชาชน และยังยึดมั่นในสิ่งที่จะทำให้ประชาชน นั่นคือ นโยบายที่ดี เชื่อว่าตัวเลขที่มองไว้ โดยเฉพาะการชนะการเลือกตั้งที่จะมาถึง เป็นสิ่งที่สามารถบรรลุ และทำได้
ขณะที่กระแสภาพรวมของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มองได้หลายมุม บางคนบอกว่าช่วงนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในภาวะที่เพลี่ยงพล้ำ ซึ่งไม่ได้ปฏิเสธ เรามีความเพลี่ยงพล้ำจริง เพราะเปลี่ยนจากสถานะจากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้าน และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วม MOA ตั้งรัฐบาล หากถามว่าเพลี่ยงพล้ำมากหรือไม่ ก็ยอมรับได้ ไม่ได้แปลกอะไร แต่แม้จะเป็นวันที่หลายคนปรามาส ว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะเพลี่ยงพล้ำ กระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทยในแต่ละภูมิภาคก็ไม่ได้ตกลงอย่างมีนัยยะ ยังอยู่ในระดับ 20% นี่ขนาดบอกว่าเรากำลังเพลี่ยงพล้ำ ส่วนคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคใด ก็มีอีก 30-35% นั่นหมายความว่า โอกาสสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะทำงาน และชนะใจประชาชน ด้วยนโยบาย บุคลากร และด้วยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะมาถึง เชื่อว่า ยังมีอยู่ โดยจะทำให้ดีที่สุด เรามองโพล เรามองสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา เป็นเพียงเครื่องเตือนใจ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การทำให้พรรค การคัดสรรบุคลากรให้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด ประชาชนจะได้ตัดสินใจในการเลือกตั้ง และเลือกพรรคเพื่อไทย
สำหรับกรณีที่บางเขต พ่อ กับ ลูก อยู่ต่างพรรคกัน การแข่งขันจะเป็นอย่างไร นายจุลพันธ์ ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่สำหรับประเทศไทย และทุกที่ในโลก ระบอบประชาธิปไตย ครอบครัวเดียวกัน มีอุดมการณ์แนวคิดที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่ยืนยันว่า คนที่มาอยู่กับพรรคเพื่อไทยทุกคน ยืนยัน ในอุดมการณ์ และจิตใจที่ยึดมั่นกับพรรคเพื่อไทยที่พร้อมจะเดินไปด้วยกัน
ขณะที่พื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่วันนี้ไม่มีตระกูล “คุณปลื้ม” มาเปิดตัวด้วยนั้น สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่ายังอยู่กับพรรคเพื่อไทย นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขอไม่ตอบเป็นรายคน เพราะเป็นเรื่องของคณะกรรมการคัดสรร และมีการไปยกอ้างถึงบุคคลมาร่วมที่ไม่ได้มาร่วมแถลงข่าวในวันนี้อาจจะไม่เหมาะสม
ส่วนการลูกชายของ นายการุณ โหสกุล มาร่วมเปิดตัววันนี้ เป็นสัญญาณว่านายการุณ จะกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายจุลพันธ์ ระบุว่า นายภูมิพัฒน์ โหสกุล บุตรชาย นายการุณ มีความพร้อม บรรลุนิติภาวะแล้ว มาสมัครกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งความจริงแล้วก็ทำงานมากับพรรคเพื่อไทย เดินตามกันมาในพรรค 10 กว่าปีแล้ว อยู่ที่ตนเองเห็นแวว และความตั้งใจ วันนี้มีความประสงค์ที่จะมาสมัคร เราก็ยินดี ซึ่งบุคลากรทั้งหมดของเขตนั้น นายภูมิพัฒน์ มีความพร้อมที่สุดในการลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงคัดสรรมา
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสเปลี่ยนตัว หรือสลับตัวผู้สมัครอีกหรือไม่ ในระหว่างที่ระฆังการเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในทางกฎหมายไม่มีข้อห้ามเรื่องการสลับ แต่คงจะไม่สลับแล้ว และโดยข้อกฎหมายในการเปิดตัวผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเรียกว่า ผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะมีกระบวนการที่จะต้องทำ ประเด็นแรก คือ ทุกพรรคต้องดูกระแสของประชาชน ว่า สุดท้ายแล้วการตอบรับของผู้สมัครเป็นอย่างไรเป็นอย่างไร ประเด็นที่สอง คือ ดูการทำงาน ว่า ขยัน และ รับฟังปัญหาประชาชน นำนโยบายของพรรคไปให้ประชาชนอย่างไร ต้องตรวจการบ้านกันและกัน ทั้งพรรค และบุคลากร และสุดท้ายต้องผ่านกระบวนการไพรมารีโหวต จึงยังไม่เรียกว่าผู้สมัคร สส. จนกว่ากระบวนการจะครบถ้วน


