กสม.ชี้ รัฐส่งชาวอุยกูร์ 40 คน กลับจีนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน-ขัดหลักการสากลห้ามผลักดันกลับสู่อันตราย แนะติดตามตรวจเยี่ยม ทบทวนการส่งกลับ 5 ผู้ต้องขังในเรือนจำ
วันนี้ (7 พ.ย.) นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง 4 ราย ซึ่งมีทั้งบุคคลและองค์กรเอกชนจากกรณีที่รัฐบาลไทย ผู้ถูกร้องที่ 1 สภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้ถูกร้องที่ 2 และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ส่งชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกกักอยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวของ สตม. กลับจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งที่ปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่า ชาวอุยกูร์มีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเผชิญกับการทรมาน การบังคับให้สูญหาย และการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ จัดทำโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) รวมทั้งข้อมูลจากหลายแหล่งยืนยันว่า การปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องทั้งสามมีพฤติการณ์ปกปิด ซ่อนเร้น และบังคับส่งกลับโดยชาวอุยกูร์ไม่สมัครใจ อันเป็นการฝ่าฝืนหลักการห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565 มาตรา 13 รวมทั้งพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายทั้งจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ความเห็นของนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ การลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริงของพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ชาวอุยกูร์เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายและถูกดำเนินคดีรับโทษจำคุกในความผิดฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว จึงมีฐานะเป็นเพียงผู้ต้องกัก มิใช่ผู้ต้องหา นักโทษ หรือผู้กระทำผิดต่อกฎหมายไทยแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าชาวอุยกูร์ยืนยันไม่ประสงค์กลับจีน แต่ต้องการเดินทางไปประเทศที่สาม เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับภยันตรายภายหลังจากการส่งกลับ จึงถือว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นผู้แสวงหาที่ลี้ภัยที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ดังนั้น การจะส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง ผู้ถูกร้องทั้งสามจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของการรับรองจากประเทศต้นทางและความสมัครใจกลับ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจากประชาคมระหว่างประเทศว่า ชาวอุยกูร์จะไม่ถูกกระทำทรมาน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบไม่ปรากฏว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้ให้ความเชื่อมั่นว่าการส่งชาวอุยกูร์กลับจะมีความปลอดภัยและไม่ถูกทรมาน แต่ยังคงส่งชาวอุยกูร์กลับจีนโดยพิจารณาเพียงคำรับรองและคำมั่นจากรัฐบาลจีนว่าชาวอุยกูร์จะปลอดภัยไม่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย และไม่เคยแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับกระบวนการส่งตัวและการให้ความยินยอมกลับจีนโดยสมัครใจของชาวอุยกูร์ โดยชี้แจงเพียงหลักการที่ใช้ในการตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับเท่านั้น การยืนยันว่าชาวอุยกูร์สมัครใจกลับจึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างของผู้ถูกร้องทั้งสามฝ่ายเดียว ทั้งที่มีข้อมูลจากรายงานการประเมินข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ระบุว่า เคยมีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อชาวอุยกูร์ นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ประเมินสถานการณ์ก่อนการส่งตัวกลับและผลกระทบภายหลังว่า สุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นของไทยในสายตาประชาคมโลก
แม้ภายหลังการส่งกลับ ผู้ถูกร้องทั้งสามได้ไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาที่สั้นและชั่วคราว ทั้งยังมีข้อจำกัดด้านการสื่อสาร และการเดินทาง โดยได้พบชาวอุยกูร์บางส่วนเท่านั้นด้วยวิธีการประชุมผ่านระบบออนไลน์ (Zoom Meeting) อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน ทำให้ไม่สามารถเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมบริบทในพื้นที่ได้ทั้งหมดและเพียงพอที่จะรับรองได้ว่า ชาวอุยกูร์มีความปลอดภัยและไม่ถูกกระทำทรมานหรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนละเมิดต่อหลักการห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) อนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ทั้งยังขัดต่อความเชื่อมั่นที่ประชาคมระหว่างประเทศมีต่อประเทศไทยกรณีที่ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำปี 2568 – 2570 นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้ากับต่างประเทศ ตลอดจนความสำคัญกับกลุ่มประเทศมุสลิม
ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้แสวงหาที่ลี้ภัยไม่ให้ถูกส่งกลับไปยังดินแดนที่มีภยันตราย และคำนึงถึงความปลอดภัย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กสม. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังผู้ถูกร้องทั้งสามและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ1. มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม ร่วมกันติดตามตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งรายงานผลการติดตามต่อสาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่แน่ชัดว่า ชาวอุยกูร์มีความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดี รวมทั้งให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) คณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ เข้าร่วมติดตามทำข่าว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ ให้รัฐบาลไทย และสภาความมั่นคงแห่งชาติ พิจารณาทบทวนการส่งกลับผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 5 คน โดยต้องคำนึงถึงหลักการห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) กฎหมายภายในประเทศและอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง การประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบและรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการประเมินสถานการณ์ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งกลับต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ รวมทั้งมีหนังสือรับรองจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการที่สามารถตรวจสอบและเปิดเผยได้ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวอุยกูร์ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง
2. มาตรการในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คำนึงถึงหลักการ non-refoulement ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการผลักดันกลับหรือการส่งคนต่างด้าวออกนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศต้นทาง โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ อย่างเคร่งครัด และให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ รวมทั้งพิจารณามาตรการทางเลือกอื่นที่เหมาะสมมากกว่าการกักขังผู้แสวงหาที่ลี้ภัย เช่น มาตรการการประกันตัว การทำงานบริการสังคม การคัดกรองส่งตัวไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม และนำข้อเสนอแนะของสำนักงาน กสม. ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องกักไปพิจารณาประกอบเพื่อลดความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ต้องกักที่ถูกกักตัวเป็นเวลานานและไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
รวมทั้งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ร่วมกันจัดทำเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรฐานการทำงาน (SOP) หรือแนวทางการปฏิบัติงานตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยเฉพาะมาตรา 13 ให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับหน่วยงานผู้ปฏิบัติด้วย


