เมืองไทย 360 องศา
เป็นเรื่องแปลกที่เวลานี้คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเชื่อถือว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะปราบปราม “แก๊งสแกมเมอร์” หรือแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างจริงจัง แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะบอกว่าทำเรื่องดังกล่าวเป็น “วาระแห่งชาติ” มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาหลายชุด โดยชุดแรกมีเขาเป็นประธาน และที่ผ่านมา ก็ร่วมประชุมกับผู้นำต่างชาติหลายเวที ยกเป็น “วาระนานาชาติ” แต่กลายเป็นว่าหลายคนยังรู้สึกว่า นั่นเป็นแค่ลีลาของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องแสดงไปตามแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกเท่านั้น หรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกับ 15 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
นายอนุทิน กล่าวว่า การลงนามป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างพร้อมเพรียงกัน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยได้มีการรวมกันเพื่อการประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ สงครามนี้เป็นสงครามที่เราจะต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนทุกคนจากภัยสแกมเมอร์ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศ ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศ ด้านการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศจนไม่สามารถประเมินค่าได้ นี่คือความมั่นคงอันดับต้นต้นของประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศอย่างชัดเจน ว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขป้องกัน และปราบปรามให้สูญสิ้นไปให้จนได้
“ผมไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชน ขอให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ผมรู้จักเพื่อนพี่น้องเหล่านี้ดี และจะไม่มีวันหมดหน้าที่ หรือเมื่อเกษียณอายุราชการไปแล้วบอกกับตัวเองไม่ได้ ว่าในขณะที่มีอำนาจมีหน้าที่มีภารกิจแล้วไม่ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ปล่อยให้ประชาชนมีความเดือดร้อน ถึงกับตายตาไม่หลับ เราต้องการทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศ และได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ” นายกฯ ระบุ
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏในวันนี้น่าจะมีความชัดเจน ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นเจ้าของสแกมเมอร์ ภาพในวันนี้คงทำให้ปรากฏชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัด ว่าไม่มีใครที่จะมีความอดทนต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำร้ายประเทศไทยดังนั้น วันนี้รัฐบาลพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอให้ความมั่นใจว่าเรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีเกี้ยเซียะ มีแต่ลุยลูกเดียว และจะถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลงาน และเป็นบุญคุณของประชาชนที่จะนำมาทดแทน เป็นสิ่งที่เราต้องทำขึ้นเพื่อขออภัยประชาชนในความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา และตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจในทีมไทยแลนด์
ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีถูกวิจารณ์ในเรื่องที่ว่าไม่จริงจังในการปราบปราม “แก๊งหลอกลวง” หรือ “สแกมเมอร์” ที่กำลังถูกสังคมนานาชาติกดดันอย่างหนัก และไทยกลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางที่มีความเชื่อมโยงกันระดับภูมิภาค และที่สำคัญที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งรัฐมนตรีบางคนที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งดังกล่าว รวมถึงมีนักการเมืองอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกันเป็นเครือข่ายในรัฐบาล ดังนั้นจะด้วยเหตุผลแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้ นายกรัฐมนตรียัง “ไม่มีผลงาน”ในการปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรม ถูกกล่าวหาว่า “ยังเกรงใจ” คนในรัฐบาลหรือเปล่า
แม้ว่าที่ผ่านมานายอนุทิน จะมีท่าทีขึงขังเอาจริงเอาจังอย่างไรก็ตาม จนถึงนาทีนี้สังคมส่วนใหญ่ก็ยังมองว่า “ยังปลอม” อยู่ดี เพราะมีการเคลื่อนไหวที่ยังไม่ทันใจ จนสังเกตได้ อย่างน้อยก็เป็นความเห็นมาจากความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ที่มองว่ายังไม่เป็นรูปธรรมจับต้องได้
โดยความเห็นของนายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามปัญหาสแกมเมอร์ ว่า หลายประเทศมีความคืบหน้า แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความคืบหน้าน้อยที่สุด ถ้านายกรัฐมนตรีเอาจริง เชื่อว่าหน่วยงานหลายหน่วยงานพร้อมทำหน้าที่ ปัญหาคือขณะนี้ที่หน่วยงานเกียร์ว่างไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่มั่นใจว่าเพราะไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีข้อมูล หรือเป็นเพราะเชื่อมถึงใครหรือไม่ แต่ก็เริ่มเห็นการเริ่มนับหนึ่งในบางกรณี แต่ในกรณีของปริ้นกรุ๊ป แทบจะไม่มีความคืบหน้าเลย จึงต้องยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องพวกนี้จริงๆ
แน่นอนว่า คำพูดที่แสดงความไม่เชื่อถือนายกรัฐมนตรีว่ายังไม่เอาจริงเอาจังในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ของฝ่ายค้านผู้นี้ สะท้อนความรู้สึกของคนไทยหลายคน แม้ว่าล่าสุดนายอนุทิน จะมีการลงนามในเอ็มโอยูกับ 15 หน่วยงานหลักในการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว รวมไปถึงการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้วหลายชุดก็ตาม
สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นดังกล่าว ยังมองอีกว่า นายกรัฐมนตรีมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบุคคลที่น่าสงสัย หรือมีลักษณะ “สีเทา”ในรัฐบาล และยังต้องพึ่งพาเสียงในการค้ำจุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของเขาในรัฐบาล ซึ่งจะด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เขาต้อง “อุ้ม” กันต่อไปหรือไม่
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและท่าทีโดยรวมของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีในเวลานี้ เหมือนกับว่ากำลัง “แสดงไปตามลีลา” เล่นไปตามน้ำ เนื่องจากเป็นกระแสกดดันจากทั้งในและนานาชาติ แต่หากพิจารณาจากผลงานที่จับต้องได้นั้นกลับมองไม่เห็นเลย !!


