“ภัทรพงษ์” ชี้ MOU แรร์เอิร์ธ มีปัญหาทั้งที่มาและเนื้อหา จี้รัฐบาลดึงสหรัฐร่วมแก้ปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมือง หลังคนไทยเดือดร้อนนับปี การแก้ไขแทบไม่คืบหน้า
วันที่ (6 พฤศจิกายน 2568) ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ รองโฆษกพรรคประชาชน และ สส.เชียงใหม่ เขต 8 ร่วมเวทีเสวนา “MOU สหรัฐฯ เหมืองแร่จีน หายนะไทย : ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญในลุ่มน้ำกก โขง สาละวิน : นโยบายพรรคการเมืองและข้อเสนอภาคประชาสังคม” ในฐานะตัวแทนพรรคการเมืองเพื่อนำเสนอมุมมองเชิงนโยบายต่อ MOU ห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญและการเปลี่ยนผ่านแร่อย่างเป็นธรรม
.
โดยนายภัทรพงษ์ ระบุว่ากรณีที่เกี่ยวกับแร่สำคัญในประเทศไทย ปัจจุบันมี 3 ปัญหาสำคัญที่ต้องพิจารณา ประกอบด้วย
.
1) MOU แร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ไทย-สหรัฐ ซึ่งมีปัญหาทั้งด้านที่มาและเนื้อหา เนื่องจาก MOU ฉบับนี้เป็น MOU ที่ทำเร็วมากและจบภายใน 4 วันเท่านั้น สหรัฐอเมริกาส่งให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 มีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยกระทรวงต่างประเทศเป็นเจ้าภาพ ทั้งกรมเหมืองแร่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี BOI และกรมเจรจาระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พูดคุยกันในวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2568 โดยมีการปรับแก้เพียงแค่ 4 จุด ในวันที่ 23 ตุลาคม 2568 กรมเหมืองแร่และกรมทรัพยากรธรณี ได้ให้ความเห็นกับรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลในเรื่องนี้โดยไม่ได้มีประเด็นปรับแก้ ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 ตุลาคม 2568 มีการให้ความเห็นชอบกับเนื้อหาและส่งให้ทางสหรัฐอเมริกาตรวจสอบ และตอบกลับมาเป็นการลงนามในวันที่ 26 ตุลาคม 2568
.
กระบวนการที่รวดเร็วเช่นนี้ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัย อีกทั้งรัฐมนตรีแต่ละคนแทนที่จะออกมาพูดถึงประโยชน์ กลับพูดว่ายกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ บางคนก็พูดชัดเจนว่าไม่ได้อยากจะลงนาม MOU ฉบับนี้ ยิ่งเป็นข้อสะท้อนให้เห็นปัญหาของที่มาของ MOU ฉบับนี้
.
ในด้านเนื้อหาก็เช่นกัน ในข้อที่ 1 ระบุชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาคาดหวังที่จะได้รับโอกาสแรกในการลงทุนในแร่สำคัญที่ขายในประเทศไทยและขายโดยบริษัทที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย แปลว่าไม่ใช่แค่แร่ที่ขุดในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงแร่ที่ผ่านกระบวนการต่างๆ และนำเข้ามาในประเทศไทยด้วย ซึ่งแม้รัฐจะอ้างว่ามี พ.ร.บ.แร่ มาตรา 35 ที่ระบุว่าไม่มีใครสามารถผูกขาดในส่วนของอาชญาบัตรได้หรือทำในพื้นที่ทับซ้อนได้ แต่ก็เป็นการกำกับแต่เพียงการทำเหมืองแร่ภายในประเทศเท่านั้น ไม่ได้มองถึงห่วงโซ่อุปทานการนำเข้ามาและแปรรูปในประเทศไทยไปสู่ประเทศอื่น
.
นอกจากนี้ในข้อ 4 ของ MOU ฉบับนี้ ที่ระบุว่าประเทศไทยต้องส่งข้อมูลให้กับสหรัฐอเมริกาให้เร็วที่สุดในทางปฏิบัติ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ MOU เรื่องเดียวกันนี้ระหว่างสหรัฐฯ กับมาเลเซีย มีการตัดข้อนี้ออกทั้งหมด นี่จะคือการทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในอนาคต
.
นอกจากนี้รัฐบาลยังละเลยในการใช้ MOU ฉบับนี้มาเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นั่นคือเรื่องของผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมาที่ทำให้น้ำเป็นพิษในพื้นที่ตั้งแต่ภาคเหนือจดใต้ เชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ระนอง หากรัฐบาลใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมจริง รัฐบาลควรจะต้องมอง MOU ฉบับนี้เป็นโอกาสในการสร้างประโยชน์ให้กับการเจรจาระหว่างประเทศกับจีนหรือเมียนมาด้วยเราสามารถการดึงสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยการเจรจาในส่วนนี้ตาม MOU ได้ด้วย แต่ประเทศไทยก็พลาดโอกาสนี้ไป
.
2) ปัญหาการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันพิกัดศุลกากรเป็น 28053000 ตามพิกัดดังกล่าว มีการนำเข้าแรร์เอิร์ธในปี 2567 เพียงแค่ 330 ตันจากมาเลเซียเป็นหลัก แต่มีการส่งออกถึง 850 ตัน โดยหลักเป็นการส่งออกไปที่ญี่ปุ่น นี่เป็นจุดแรกที่ทำให้เห็นข้อบกพร่องของกฎหมายไทยที่ไม่สามารถจัดการห่วงโซ่อุปทานในประเทศได้ ที่สำคัญคือแร่พลวงที่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยอยู่ที่ 42,000 ตัน โดยหลักมาจากเมียนมา และส่งออกประมาณ 40,000 ตันไปที่ประเทศจีนเป็นหลักและมีการส่งออกกลับไปที่เมียนมาด้วยเช่นกัน นี่เป็นที่ชัดเจนว่าปัจจุบันมีการใช้ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่านของพลวง ที่ใช้ทำแบตเตอรี่รถยนต์ วัสดุหุ้มสายไฟ และกระสุนปืน โดยในปี 2567 กรมศุลกากรประเมินว่าไทยมีการส่งออกพลวงกลับไปที่เมียนมามูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท และส่งไปประเทศจีน 13,000 ล้านบาท
.
ปัญหาคือระบบห่วงโซ่อุปทานของไทยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคนที่นำเข้าพลวงเอามาจากเหมืองใด และเหมืองนั้นมีการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างไร ซึ่งส่วนนี้สามารถทำได้เลยในกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.แร่ แต่ปัจจุบันไม่มีการออก ที่แย่ไปกว่านั้นคือในอดีตก่อนที่จะมี พ.ร.บ.แร่ มีประกาศของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ 2555 ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าแร่ต้องระบุแหล่งที่มาของเหมืองแร่ด้วย แต่กฎหมายปัจจุบันไม่มีในส่วนนี้
.
3) ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ต่อน้ำกก น้ำสาย น้ำรวก น้ำสาละวิน และน้ำกระบุรี เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตั้งแต่น้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรโดยเฉพะการปลูกข้าว ซึ่งปัจจุบันไม่มีการตรวจสอบ รวมทั้งการประมง ซึ่งปัจจุบันหลายกรมหลายกระทรวงจะบอกว่าปลาไม่มีสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน สามารถรับประทานได้ แต่เมื่อดูตัวเลขในบางพื้นที่จะพบการปนเปื้อนที่ 0.44 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จากมาตรฐานที่ไม่ให้เกิน 0.5 แต่หากดูเกณฑ์สากล มีการระบุไว้ว่าว่าหากเกิน 0.2 แต่ไม่เกิน 0.5 ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางสามารถรับประทานได้เพียงไม่เกินสัปดาห์ละสองมื้อเท่านั้น นี่คือข้อมูลที่ประเทศไทยไม่ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่ประชาชน
.
นอกจากนี้ยังมีปัญหาของการปนเปื้อนแหล่งน้ำประปา ซึ่งมากกว่า 80% ของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเป็นประปาหมู่บ้าน ไม่ใช่ประปาภูมิภาค และประปาเหล่านี้แหละที่มีการพบสารตะกั่วเกินเกณฑ์มาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยที่รัฐบาลไม่ได้มีมาตรการในการออกตรวจเชิงรุกหรือการสนับสนุนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปตรวจทุกเดือน รวมทั้งการตรวจปัสสาวะในคนที่ปัจจุบันเจอสารหนูเกินไปแล้ว 7 คนและยังไม่มีการตรวจอีกเลยนับตั้งแต่ตรวจเจอตอนนั้น
.
นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ต้องมีการแก้ไข ประการแรก คือการแก้ไข MOU ปรับแก้ถ้อยคำในข้อ 1 ที่เป็นการเอื้อให้สหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์มากเกินไป ให้สอดคล้องกับหลักการความเท่าเทียม ว่าทั้งสองประเทศต้องทำงานร่วมกันด้วยความบริสุทธิ์ใจและให้ความสำคัญในการลงทุนของแต่ละประเทศ และต้องตัดในข้อที่ 4 ออก และเพิ่มในส่วนของปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้ประเทศสมาชิกทั้งสหรัฐอเมริกาและไทยต้องร่วมมือในการช่วยเหลือการแก้ปัญหามลพิษที่เกิดจากกิจกรรมจากแร่สำคัญ ทั้งมลพิษในประเทศและมลพิษข้ามแดนจากต่างประเทศที่มากระทบภายในประเทศ
.
ส่วนต่อมาคือการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลสามารถออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.แร่ ได้เลย ในการให้ผู้นำเข้าแร่แต่ละชนิดต้องระบุว่าแร่ที่นำเข้านั้นมาจากแหล่งเหมืองใด และเมื่อน้ำเข้ามาในไทยแล้วมีการจัดการแต่งแร่หรือกระบวนการอย่างไรบ้าง และมีการส่งออกไปที่ไหนและในรูปแบบผลิตภัณฑ์อะไร ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
.
ในส่วนต่อมาต้องมีการปรับตัวเลขพิกัดศุลกากร ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลเพียงว่ามีบริษัทที่นครราชสีมาและระยองนำเข้าและส่งออก แต่ไม่มีข้อมูลเลยว่าแรร์เอิร์ธที่นำเข้าและส่งออกเป็นชนิดใด เพราะพิกัด 28053000 คือพิกัดที่เหมารวมแรร์เอิร์ธทั้งหมด ทั้งที่แรร์เอิร์ธมีอยู่ 17 ชนิดและยังมีการแบ่งย่อยลงไปอีก ซึ่งมีความแตกต่างด้านราคามาก การจะติดตามทั้งห่วงโซ่แรร์เอิร์ธได้ต้องมีการระบุพิกัดที่ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งในส่วนนี้ประเทศไทยทำเองไม่ได้ แต่ต้องทำผ่านกลไก FTA ไทยต้องใช้เวที AFTA พูดคุยเพื่อออกพิกัดย่อยของแรร์เอิร์ธแต่ละชนิดในระดับอาเซียนต่อไป
.
นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาต่อมาที่สำคัญที่สุดคือการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทย ที่ผ่านมาประเทศไทยเจอปัญหาสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำแถบตะวันตกมามากกว่าปีแล้ว แต่การแก้ปัญหาที่ต้นทางยังมองแทบไม่เห็น ในรอบปีที่ผ่านมามีการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรีเพียงครั้งเดียว คือในวันที่ 20 สิงหาคม 2568 หลังจากนั้นมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างเมียนมากับไทย แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มในการวางแผนการปฏิบัติร่วมกันด้วยซ้ำ
.
หากพรรคประชาชนเป็นรัฐบาลในส่วนนี้จะทำงานเชิงรุกอย่างหนัก เริ่มจากการเจรจาระดับพหุภาคีที่มีจีน ไทย เมียนมา และลาว ออกแผนการปฎิบัติให้ชัดว่าประเทศไหนจะดำเนินการอะไรอย่างไรเพื่อหาแหล่งกำเนิดต้นตอของมลพิษทางน้ำที่เจออยู่ในปัจจุบัน และไทยต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้ เพราะประชาชนคนไทยกำลังเจอปัญหาหนักที่สุด
.
นายภัทรพงษ์ ยังกล่าวต่อไปว่าอีกส่วนหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือการแก้ปัญหาภายในประเทศ นั่นคือการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการตรวจน้ำประปาหมู่บ้านทุกเดือน หากพบเจอพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงก็ต้องมีการหาแหล่งน้ำทดแทน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย โดยเฉพาะเรื่องของปลา ที่แม้ตอนนี้ยังไม่พบเกินค่ามาตรฐาน แต่ควรมีการควบคุมปริมาณการบริโภค รวมถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะการตรวจก่อนเก็บเกี่ยว ปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีไปในหลายพื้นที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตรวจสารหนูในข้าวนาปีกว่า 130,000 ไร่เลย หากตรวจแล้วเจอสารหนูเกินมาตรฐานจะได้มีมาตรการการเยียวยาให้เกษตรกร และวางแผนบำบัดเฉพาะจุดที่จะนำไปใช้ในการเกษตรต่อไปได้
.
ทั้งหมดนี้จึงเป็นการจัดการ 3 ปัญหาทั้ง MOU สหรัฐฯ, supply chain ของแร่ที่สำคัญ, และการจัดการกับผลกระทบกับประชาชนที่คนไทยกำลังเจอกันอย่างหนักมาหนึ่งปี จากพรรคประชาชน


