ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ใครเอ่ย?..ม้านำพาชีวิตดี๊ดี โอน 60-70 ล้านต่อเดือน! จับโป๊ะ “โจ๊ก-อัจฉริยะ” คนอะไรนั่งเคลียร์เงินเทา เอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้องค์กร
เป็นเรื่องทำตัวให้ “คนนินทา หมาดูถูก” ได้ตลอดเวลาสำหรับ “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รองผบ.ตร. และ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
เพราะคดีต่างๆของ “โจ๊ก” ใกล้ยุติ รวมไปถึงถูก“ไล่ออก” จากราชการ เจ้าตัวจึงดิ้นรนอย่างหนัก ด้วยความหวังที่มีอยู่จะพลิกสถานการณ์อย่างน้อยเป็นข้อต่อสู้ในพิจารณาคดี ด้วยการโหนกระแสสแกมเมอร์ และ “เผา” องค์กรที่ตัวเองเคยอยู่อาศัย
ดังนั้น สังคมจึงได้เห็น “โจ๊ก”เอาหนังม้วนเก่า ตัวละครเดิม พล็อตเรื่องเดิม มาวนเล่าใหม่ แต่งเติมเรื่องราวให้น่าสนใจด้วยการทำเป็นรู้หมดแหละใครทำอะไรอย่างไร ใครเทา ใครดำ? ว่าแล้วก็ยั่วให้อยากรู้ แล้วแสร้งเป็นไม่บอก
ขณะเดียวกัน ก็ “เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น” เพิ่มเติมด้วยการมี “ลูกคู่” รับ-ส่งกันออกสื่อ อย่าง “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ดังในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ที่ก็ไม่รู้ว่าหลังจบ EP นี้ ควรจะเปลี่ยนชื่อรายการเป็น “คนอะไรนั่งเทียน” หรือไม่ ?
ด้วยว่าเป็นรายการที่แปลกประหลาด เชิญ “โจ๊ก” ที่มีคดีถูกกล่าวหาพัวพันเว็บพนัน-ฟอกเงิน จนกำลังนำไปสู่การจะถูก “ไล่ออก” จากราชการมาแก้ต่างแก้ตัว มั่วข้อมูลแล้วโยนความชั่วทั้งหลายให้ตำรวจทั้งองค์กร “แบกหม้อก้นดำ” แทนตัวเอง กล่าวหาว่าเป็น “องค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”
ส่วน “อัจฉริยะ”ก็เป็นประเภท “นักร้อง” ลมเพลมพัด ที่มีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆว่า มีจุดยืนยังไงกันแน่ ก่อนหน้านี้เคยเป็น “ปากเสียง” หรือ แทบจะเป็นโฆษกประจำตัวให้กับ“บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. คู่กรณี “โจ๊ก” แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นลูกคู่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์
อย่าว่าแต่คนทั่วไปสงสัย ถ้า “อัจฉริยะ” ส่องกระจกดูตัวเองทุกวัน ก็คงต้องตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกัน ตกลงว่า กรูเป็นใคร? อย่างน้อยๆ ก็คงสังเกต ผิวตัวเองทำไมเปลี่ยนได้ราวจิ้งจก !
ว่าไปก็เหมาะกันดี ระหว่าง “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์-อัจจริยะ” เคมีคงเข้ากัน ขยันเต้าข่าว ซึ่งในรายการ คนต้องคดีนั่งเทียน... เอ๊ย คนดังนั่งเคลียร์ คนหนึ่งเป็นปี่ คนหนึ่งเป็นขลุ่ย เข้ากั๊นเข้ากัน แต่หาความจริงไม่ได้ !
ความจริงที่เป็นเบื้องหลังให้คู่ดูโอ้ “โจ๊ก-อัจ” ออกมาเคลื่อนไหวฟาดคนนั้น คนนี้ โดยเฉพาะ “บิ๊กอรรถ” พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ และพวก เพราะแค้นฝั่งหุ่น ผูกใจเจ็บที่โดนคดี
ถ้ายังจำกันได้ ปี 2566 จุดเริ่มแห่งความวิบัติจนมีวันนี้ของ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” ก็คือการที่ “พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ” นำกำลังบุกค้นบ้านพักของ “โจ๊ก”และ ตำรวจใกล้ชิด จนได้หลักฐานเด็ดที่ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของลูกน้องโจ๊กนำมาสู่การดำเนินคดี และขยายผลในเวลาต่อมา
“ โจ๊ก”มักอ้างออกสื่อ ตัวเองถูกตำรวจชุดนี้กลั่นแกล้ง ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีเส้นทางการเงินมาพิสูจน์ แค่ไปเป็นประธานงานแต่ง “เมฆรามา” โดยที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่จำใจต้องทำตามคำขอของตุลาการศาลคนหนึ่งที่สนิทกัน และมีภาพถ่ายกับ “มินนี่” สาวน้อยร้อยเว็บ แค่ภาพเดียว ก็ถูกโยงว่ามีเอี่ยวกับเว็บพนัน และหาเรื่องไล่ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซะงั้น
เล่าเป็นตุเป็นตะ แต่ใครที่รู้ความจริง ก็จะทราบว่าเป็นคนละเรื่อง!!
เพราะ คดีที่ “โจ๊ก” ถูกกล่าวหาว่าพัวพันเว็บพนันและเป็นเหตุต้องระเห็จออกจากสำนักงานตำรวจนั้น เป็นคดี เว็บพนัน BNK Master ที่มี “พิมพ์วิไล” เป็นผู้ต้องหาในคดีต่างหาก ไม่ใช่ไปถ่ายรูปกับใคร หรือ ร้อง “โอเกะ” กับมินนี่
จากหลักฐานที่ปรากฏ ทั้ง แชตไลน์ มือถือ หรือ เครื่องมืออิเลกทรอนิกส์ อื่นๆแวดล้อมยืนยัน เพียงแต่ตำรวจที่เขาทำคดีไม่ได้นำสืบออกสื่อ !
เชื่อว่าตำรวจยังมีหลักฐานอีกมาก ที่ยึดได้จากคอมพิวเตอร์ของตำรวจ พ่อบ้านโจ๊ก “พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ”
ส่วนที่ “โจ๊ก” บอกว่า ไม่มีเส้นเงินเข้าตัวเอง ถามหาหลักฐานนั้น..โจ๊ก อดีตเป็นนายตำรวจใหญ่ ยศพล.ต.อ. แถมเป็นถึง รอง ผบ.ตร. โอ่อวดสรรพคุณว่าเป็นตำรวจที่สืบสวนสอบสวนเก่ง ก็น่าจะรู้ว่า...เส้นเงินเขาไม่ได้พิสูจน์แค่เส้นตรงที่วิ่งเข้ามาหาตัวเอง แต่ผ่าน “บัญชีม้า” จากม้าแล้ววิ่งไปไหน ?
ถ้า “โจ๊ก” ไม่รู้ก็ลองถาม “อัจฉริยะ” ก็ได้ว่า ตอนที่เป็นตัวแทน “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก็รู้เพราะมีเส้นสายตำรวจบอกไว้หรือไม่
ฟังว่า จาก “พิมพ์พิไล” ไปสู่ม้า แล้วม้าตัวนี้นี่ก็วิ่งตะลุยทุ่งไปทั่ว ผ่านไปทางพ่อบ้านบ้าง ผ่านไปครอบครัว เครือญาติบ้าง เดือนๆ หนึ่งว่ากันต้องมี 60-70 ล้าน!
คำถามคือเงินมาจากไหน? “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และ อัจฉริยะ” สืบมาเล่าให้ประชาชนบ้างได้หรือไม่?
สรุปว่าการเคลื่อนไหวออกสื่อเล่าความเท็จของ “โจ๊ก-อัจ” ทั้งหมดเป็นแผนที่ถูกไตร่ตรองเอาไว้ว่า ต้องการ “ดิสเครดิต” คนทำคดีตัวเอง เพื่อจะใช้เป็นเรื่องที่จะนำไปสู้คดี ว่า นี่ไงพนักงานสอบสวนมีความไม่ชอบ เป็นตำรวจเทา องค์กรไม่ดี ตัวเองเป็นคนดี เป็นตำรวจที่เก่ง
“โจ๊ก-อัจ” น่าจะรู้ดีว่า ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด พอพูดออกไปแล้วคำพูดจะเป็นนาย
ออกรายการกล่าวหาคนอื่น และเหมาเข่งกล่าวหาองค์กร ว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม ไม่มีตำรวจในสตช.คนไหนเขาทนได้
ล่าสุดฟังว่า 4 องค์กรตำรวจ ได้แก่ สมาคมตำรวจ, สมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ, ชมรมพนักงานสอบสวน และชมรมข้าราชการตำรวจบำนาญ นำโดย “พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” นายกสมาคมตำรวจ “พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์” ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ และ “พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา” นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เข้ายื่นหนังสือถึง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการทางวินัย และอาญา กับ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล” อดีตรอง ผบ.ตร. และ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
กรณีทั้งสองออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” และ มีตำรวจเกี่ยวข้องหลายร้อยนาย ซึ่ง 4 องค์กรตำรวจ เห็นว่า เป็นการบิดเบือนและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างร้ายแรง
ขณะที่ “บิ๊กต่าย” แม้จะเลือก “ตอบโต้ด้วยผลงาน" มากกว่าตอบโต้ผ่านสื่อ แต่ก็ยืนยันพร้อมที่จะดำเนินการกับผู้ที่ทำให้องค์กรตำรวจเสียหายอย่างเด็ดขาด!
งานนี้ "โจ๊ก-อัจ" คู่หูคนนินทา หมาดูถูก ทราบแล้วเปลี่ยน!
++ “นันทนา” เดินหน้าสู้ สว.สีน้ำเงิน
“นันทนา นันทวโรภาส” สมาชิกวุฒิสภา จาก“กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่” สายสีส้ม ถูกที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติด้วยข้อหาหนัก ฝ่าฝืน จริยธรรมร้ายแรง จากเรื่องร้องเรียนว่า ดูหมิ่น“แดง กองมา” สว.กลุ่ม 10 ที่มีอาชีพขายหมู แต่ได้เข้ามาเป็นกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา
“นันทนา” ดิ้นสู้ โดยเข้ายื่นหนังสือถึง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ด้วยเห็นว่าการที่วุฒิสภามีมติดังกล่าว เป็นการกลั่นแกล้งอย่างมีอคติ เนื่องจากที่ผ่านมา ตนเองได้ออกมาเปิดโปงเรื่อง “ฮั้ว สว.” และเรียกร้องให้ สว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา หยุดปฏิบัติหน้าที่ ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการกระทำของตน อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ สว. เสียงข้างมาก จึงถูกหาเหตุกลั่นแกล้ง
อีกทั้ง ในคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ที่มี “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” รองประธานวุฒิสภา เป็นประธาน พิจารณาเรื่องของตนเองนั้น มีผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใน คดีฮั้ว สว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง และไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการจริยธรรม ที่จะมาพิจารณาตัดสินเรื่องนี้ เพราะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (5พ.ย.) “นันทนา” หอบหิ้วเอา “ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช” มาร่วมแถลงข่าว ว่าเตรียมจะให้ “ทนายอนันต์ชัย” ทำเรื่องยื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อไต่สวน “พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์” รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรม “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา และ สว.อีก 17 คน ที่เป็นกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ว่ามีพฤติกรรมส่อ ขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 และฐานกระทำเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
“ทนายอนันต์ชัย” ขึงขังตามสไตล์ว่า หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ช้า ก็เตรียมเจอฟ้องศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ
“ผมไม่กลัวนักการเมือง หากจะสู้กับนักกฎหมาย เหนื่อยแน่นอน เมื่อพวกคุณหมดวาระไป หมดบารมี ผมจะเล่นงานพวกคุณ และผมมองว่า ควรยุบ สว.ไป ให้มีเฉพาะสส.ก็พอแล้ว เพราะเปลืองเงินภาษีประชาชน”
เป็นที่น่าสังเกตว่า “นันทนา” ซึ่งเป็น สว.สีส้ม กำลังบู๊กับ “สว.สีน้ำเงิน” แต่ไม่เห็นมี “สส.พรรคส้ม” ออกมาเคลื่อนไหวเป็นแนวร่วมเลย หรือเป็นเพราะเกรงใจ “พรรคน้ำเงิน” จึงปล่อยให้สู้ไปเพียงลำพัง


