“ประเสริฐ” ชี้หากรัฐบาลเอาจริงปราบสแกมเมอร์ ทำได้ภายใน 30 วัน ไม่ต้องรอ 4 เดือน จี้ “อนุทิน” หยุดเล่นการเมืองบนความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่แก้ปัญหาแค่สร้างภาพเอาคะแนน
วันที่ 4 พ.ย. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงบทบาทนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในการเข้าร่วมประชุมเอเปค ว่า พรรคเพื่อไทยมีมุมมองแตกต่าง จากพรรคการอื่นที่ชื่นชม โดยตั้งข้อสังเกต 4 ประเด็นสำคัญโดยเฉพาะ “มาตรการปราบสแกมเมอร์ของไทย" ซึ่งตนในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มองว่าการที่รัฐบาลประกาศว่าจะเป็นผู้นำในการปราบปรามสแกมเมอร์ และ เป็นเซ็นเตอร์ในเวทีโลกต่างๆ นั้นจะต้องทำให้ได้จริงไม่ใช่ประกาศเพียงแค่ภาพลักษณ์ เท่านั้น และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีมักจะพูดเสมอว่าเป็นคนพูดแล้วทำ ซึ่งสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งปัญหานี้เคยได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมไปแล้วในรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งมูลค่าความเสียหาย ลดลงไปถึง 40% หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 14,500 ล้านบาทต่อปี
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า การกลับมาเป็นปัญหาเรื่องนี้สำหรับประชาชนและเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกนั้น รัฐบาลไม่ได้ใช้เวทีโลกในการผลักดันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง จากเมื่อก่อนที่ประเทศไทยเป็นตัวตั้งตัวตีของภูมิภาคในเรื่องนี้จนได้รับรางวัลระดับโลกและเป็นต้นแบบให้กับหลายๆประเทศ แต่ตอนนี้ประเทศไทยกลับตามหลังประเทศรอบข้าง เช่น ประเทศสิงคโปร์มีการยึดทรัพย์มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สิงโปร์ ที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มสแกม "Prince Group" ที่เป็นเครือข่ายข้ามชาติ หรือ มาเลเซีย มีการจับกุมโปรแกรมเมอร์กว่า 2,000 รายและยังเสนอให้มีการปรับปรุงกรอบของกฎหมายและขยายมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เรื่องนี้ในประเทศไทยในสมัยของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้มีการผลัดดันพระราชกำหนดขึ้นมา 2 ฉบับ ซึ่งแทนที่รัฐบาลชุดนี้ จะออกกฎหมายลูกและบังคับใช้ แต่ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด และยิ่งไปกว่านั้น ในเวทีการประชุม เอเปค ที่ ประเทศเกาหลีใต้ กัมพูชายังได้หารือทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา ในการยกระดับความมั่นคงในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและกระบวนการฟอกเงินการค้ามนุษย์ที่ใช้กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการ โดยเน้นการสืบสวนร่วมและการแชร์ข้อมูลข้ามชาติ จึงต้องตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไม่มีการหยิบยกเรื่องนี้เข้าไปในเวทีเอเปคอย่างเป็นรูปธรรม หรือตอนไปเซ็น MOU เรื่องแร่หายากกับสหรัฐฯ ทำไมถึงไม่มีการไปหารือในเรื่องสแกมเมอร์
พรรคเพื่อไทยจึงเสนอให้รัฐบาล เดินหน้าปราบปรามสแกมเมอร์ ภายใน 30 วัน ไม่ต้องรอถึง 4 เดือน อย่างที่รัฐบาลออกมาประกาศโดยต่อยอดจากกลไกที่รัฐบาลเพื่อไทยได้วางไว้
1. ขอให้รัฐบาลออกมาแถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี แฉว่าถูกแก๊งสแกมเมอร์เสนอสินบน 40 ล้านต่อเดือน แลกกับการไม่ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เคยบอกว่าจะมาสรุปผลภายในสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมขยายผลจับกุมไปยังต้นตอ
2. ขอให้มีการสืบสวนและดำเนินการทางคดีกับบุคคลและบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Prince Group โดยเร็วที่สุด
3. ขอเสนอแนะว่า จะโค่นสแกมเมอร์ได้ ต้องโฟกัสที่“เงิน” เพราะเงินทุกบาทที่อาชญากรยึดไป รัฐบาลต้องเอาคืนให้พี่น้องประชาชน
4. เดินหน้าความร่วมมือปราบสแกมเมอร์ทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่าง ไทย-จีน-กัมพูชา โดยให้พิจารณาพัฒนาจากโมเดลความร่วมมือ ไทย-จีน-เมียนมา ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ริเริ่มไว้ รวมถึงกลับมาดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมันเพื่อสกัดสแกมเซ็นเตอร์ ตามแนวชายแดน และให้กลับมาเข้มงวดในการปิดกั้นเส้นทางธรรมชาติทางชายแดน
และ 5. สานต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย จัดตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติระดับภูมิภาค เพื่อสร้างบทบาทนำที่แท้จริงให้กับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่ม
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้มาถกในเวทีโลก และสานต่อสิ่งที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเคยทำไว้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้แกนนำของนายอนุทิน หยุดเล่นการเมืองบนความมั่นคงของชาติ และนำผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทำจริงไม่ใช่ทำตามกระแส รัฐบาลต้องเดินหน้ามาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์คข้ามชาติให้ถึงที่สุด ใช้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชาไม่ใช่แค่สร้างภาพเอาคะแนนนิยมทางการเมืองชั่วคราวเท่านั้น


