สสส. ร่วมประชุม INHPF Annual Meeting & Symposium 2025 ผลักดันแนวนโยบายสุขภาวะระดับโลก โชว์ต้นแบบควบคุมยาสูบ–แอลกอฮอล์–จัดการ NCDs–สุขภาพจิตไทยเผย 3 นวัตกรรม สร้างสุขภาพยั่งยืน–ลดเหลื่อมล้ำทั่วประเทศ
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะเลขานุการเครือข่ายกองทุนสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ (International Network of Health Promotion Foundations – INHPF) กล่าวว่า ในการประชุมวิชาการและการประชุมประจำปี “INHPFAnnual Meeting & amp Symposium 2025” ระหว่างวันที่ 1–3 กันยายน 2568 ที่ สาธารณรัฐสิงคโปร์ สสส. ในฐานะเลขาฯ ได้เชื่อมประสานการทำงานสร้างเสริมสุขภาวะกับหน่วยงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แอฟริกา และพันธมิตรระดับโลกเข้าร่วม ในการปฏิบัติและนโยบายด้านการส่งเสริมสุขภาพในระดับนานาชาติ ได้แก่ 1. สสส. 2. VicHealth ออสเตรเลีย 3. HealthWay ออสเตรเลีย 4. Health and Wellbeing Queensland ออสเตรเลีย 5. Singapore Health Promotion Board สิงคโปร์ 6. Korea Health Promotion Institution สาธารณรัฐเกาหลี 7. Tonga Health Promotion Foundation ตองกา 8.Health Promotion Administration (HPA) ไต้หวัน โดยในปีนี้มีองค์กรใหญ่ที่เข้าร่วมด้วยอย่าง 1. องค์การอนามัยโลก สำนักงานภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (WHO-WPRO) 2.เครือข่ายควบคุมยาสูบแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATCA)
“จากการขับเคลื่อนงานได้ขยายเครือข่าย INHPF ไปยังหน่วยงานสุขภาพ ได้แก่ 1. กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย 2. องค์กร PROGGA จากบังกลาเทศ 3. ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพบรูไน 4. McCabe Centre for Law & Cancer ออสเตรเลีย 5. กรมอนามัยรัฐซาราวัก มาเลเซีย สสส. ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญของเครือข่าย เสริมสร้างศักยภาพของของประเทศต่าง ๆ โดยอาศัยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ สร้างความเข้มแข็งและขยายเครือข่าย INHPF การดำเนินงานของเครือข่าย INHPF สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และส่งเสริมการทำงานของ สสส.ในด้านต่างประเทศ เป็นการเชื่อมประสบการณ์ไทยสู่ระดับนานาชาติ ส่งเสริมบทบาทนำของไทยในเวทีโลก ผ่านการ ถ่ายทอดโมเดลการทำงานเชิงนโยบายด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การผลักดันนโยบายควบคุมยาสูบและแอลกอฮอล์ รณรงค์สร้างการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้หลายประเทศนำไปปรับใช้ตามบริบทของตนเอง” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ รองประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า เวทีประชุมครั้งนี้ได้ประเทศไทยหยิบยกประเด็นโรค NCDs ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องเร่งจัดการ แม้มีความพยายามต่อเนื่อง แต่การลดอัตราการเกิดโรคยังล่าช้า โดยไทยมีมาตรการภาษีสุขภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงหลักอย่างยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำตาล นอกจากนี้ “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นอีกความท้าทายที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ตกเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินและสารพิษอันตรายอีกหลายชนิดที่กระทบต่อร่างกายและสุขภาพจิต การแก้ปัญหาจึงต้องทำควบคู่ทั้งกฎหมายที่เข้มแข็ง การสร้างความตระหนักรู้ และบริการเลิกบุหรี่ที่เข้าถึงง่าย
“ปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ถือเป็นประเด็นเร่งด่วน ผลสำรวจโดยกรมสุขภาพจิตและรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 พบว่า คนไทย 13.4 ล้านคนเคยมีปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคจิตเวช โดย ผู้ชายมีสัดส่วนสูงกว่าผู้หญิง 3 เท่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และวัยรุ่นอายุ 18-24 ปี เป็นกลุ่มที่มีปัญหาสูงกว่าวัยอื่น ไทยได้ยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมกับสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และสร้างแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่อให้เข้าถึงบริการได้ง่าย ขณะที่สิงคโปร์เปิดตัวแคมเปญ “It’s Okay to Reach Out” กระตุ้นให้เยาวชนกล้าขอความช่วยเหลือ ตอกย้ำว่าสุขภาพจิตคือพื้นฐานของสุขภาวะ และสังคมต้องเปิดกว้างต่อการพูดคุยเรื่องนี้ พร้อมทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ” นพ.สุวิทย์ กล่าว
นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส. ได้นำเสนอผลงานและนวัตกรรมด้านสุขภาพซึ่งสะท้อนศักยภาพของไทยในระดับสากล อาทิ 1. “Co-Investment Model” โดยทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนให้ชุมชนออกแบบโครงการสุขภาพที่ตอบโจทย์และมีส่วนร่วม ส่งผลให้เกิดผู้นำด้านสุขภาพกว่า 6,580 คน และโครงการกว่า 697 โครงการทั่วประเทศ พร้อมเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้รับ” สู่ “เจ้าของ” สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ 2.“Good Walk Score” ดัชนีการเดินในเมืองครั้งแรกของไทยที่ผสานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System – GIS) กับความคิดเห็นของประชาชน เพื่อประเมินความปลอดภัย การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ช่วยกระตุ้นให้คนเดินมากขึ้น ลดมลพิษ และใช้เป็นข้อมูลวางแผนพัฒนาเมืองได้ตรงจุด 3.“ThaiHealth Resource Center” แพลตฟอร์มดิจิทัลรวบรวมองค์ความรู้และเครื่องมือส่งเสริมสุขภาพสำหรับโรงเรียน องค์กร และชุมชน เสริมทักษะสุขภาพดิจิทัลและยกระดับคุณภาพชีวิต
                    

