รองหัวหน้า พปชร.ห่วงสแกมเมอร์ทำลายประเทศ จี้ รบ.ยกเป็น’วาระแห่งชาติ’ เชื่อถ้าทุกฝ่ายร่วมมือแก้ได้แน่ แนะประสานจีนใช้เทคโนโลยีชั้นสูงร่วมปราบปราม
วันนี้(1 พ.ย.)นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงมาตรการปราบปรามสแกมเมอร์ของรัฐบาลว่า ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้รัฐบาลควรจะทำให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ได้กระทบเฉพาะประชาชนในประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศอื่นก็ได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งเทคโนโลยีที่จะช่วยในการปราบปราม แม้ว่าบ้านเราจะทันสมัยแต่อาจจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าโดยเฉพาะเทคโนโลยีจากประเทศจีน ความจริงเราไม่ได้โทษว่าประเทศไหนมีสแกมเมอร์ เพราะไม่ว่าประเทศไหนที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงก็ต้องมีทั้งคนดีและไม่ดี ถ้ามีเทคโนโลยีชั้นสูงแล้วเอามาใช้ช่วยประชาชนก็เป็นเรื่องดี แต่ในทางกลับกันหากเอามาทำร้ายประชาชนโดยกลุ่มมิจฉาชีพก็จะกลายเป็นเรื่องร้าย ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งประกาศเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ เหมือนกับเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นอาชญากรรมทางเทคโนโลยีชั้นสูง และต่อไปอาจจะขยายไปจนร้ายแรงกว่ายาเสพติดก็ได้
นายสุรเดช กล่าวว่า อย่าลืมว่าประชาชนบางส่วนรู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยีของกลุ่มมิจฉาชีพ จึงอาจตกเป็นเหยื่อ และทำให้เสียรู้ ถูกดูดเงินไปแบบไม่รู้ตัว สูญเสียเงินทองจำนวนมากให้กับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรประกาศเรื่องนี้เป็นนโยบายแห่งชาติก่อน นอกจากนี้ต้องขอความร่วมมือกับประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงกว่าเรา เช่นทางรัฐบาลจีน เพราะคนจีนเองก็อยู่ในประเทศไทยเยอะ รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนก็มีอยู่ในประเทศไทยเยอะมากเช่นกัน และประเทศจีนเองก็มีสแกมเมอร์เหมือนกัน ดังนั้นทางการจีนก็ต้องคิดที่จะจัดการกับสแกมเมอร์ของเค้าเหมือนกัน
นายสุรเดช กล่าวว่า สแกมเมอร์ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาระดับโลก ไม่ใช่แค่ปัญหาระดับชาติ ซึ่งเราสามารถให้กระทรวงการต่างประเทศของเรา ประสานผ่านทางสถานทูตจีนในประเทศไทย เพื่อขอความร่วมมือในการปราบปราม และถือเป็นโอกาสดีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้มีการคุยพูดคุยกับทางประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนในเรื่องของการปราบปรามสแกมเมอร์นี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลก็ต้องขอความร่วมมือกับประชาชนในการให้เบาะแสที่ทันต่อเหตุการณ์ ความจริงตำรวจและทหารบ้านเราก็มีเทคโนโลยีชั้นสูงระดับหนึ่ง จึงอยากให้สนธิกำลังกัน โดยเฉพาะตำรวจทุกหน่วยต้องตื่นตัวดำเนินการเรื่องนี้ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น เพราะกำลังเจ้าหน้าที่คงไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องสนธิกำลังกันทั้งหมด ที่สำคัญก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือให้กับตำรวจเหล่านี้ด้วย ตนคิดว่าเราต้องประกาศสงครามกับสแกมเมอร์ เพื่อให้มิจฉาชีพรู้ว่าเราเอาจริง และถ้าจับได้ จะต้องมีบทลงโทษหนักที่สุดถึงประหารชีวิตเลย หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งยึดทรัพย์สินทั้งหมดด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายคนเป็นห่วงว่าเจ้าหน้าที่ของไทยจะลูบหน้าปะจมูกหรือไม่ เพราะอาจมีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นายสุรเดช กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าก็คงมีอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้จะทำงานได้สะดวกได้อย่างไร ดังนั้นหากเป็นคนไทยก็ต้องมีโทษหนักกว่าปกติ 2 เท่า เพราะถือเป็นการทำลายประเทศ ซึ่งการทำแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการขายชาติ ที่มาทำร้ายคนไทยกันเอง จึงต้องลงโทษอย่างหนัก เอาจริงเอาจัง ต้องทำงานเป็นรูปธรรม เร่งด่วนรวดเร็ว ให้ทันกับช่วงเวลาจำกัด 4 เดือนของรัฐบาลนี้ ตนเชื่อว่าถ้าองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐ สนธิกำลังกันทุกหน่วย ทั้งทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่ช่วยแจ้งเบาะแส ก็จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยรัฐบาลอาจจะมีการจัดหารางวัลให้ประชาชนที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมได้ด้วย ซึ่งวิธีการทำอาจเหมือนกับการแจ้งเบาะแสเรื่องยาเสพติด ก็จะทำให้ประชาชนกล้าที่จะแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ได้


