xs
xsm
sm
md
lg

สสส. สานพลังจุฬาฯ ขับเคลื่อน “กฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน” ยกระดับสิ่งแวดล้อมสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น “การพัฒนาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน พ.ศ. …” ภายใต้โครงการพัฒนากฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนและกฎหมายการจัดการอาหารส่วนเกินและขยะอาหาร เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมสยาม แอท สยาม ดีไซน์ โฮเทล กรุงเทพฯ เพื่อเปิดเวทีให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพัฒนากฎหมายแม่บทด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2) กล่าวว่า “สสส. เห็นความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน จึงได้กำหนดให้ “การลดมลพิษจากสิ่งแวดล้อม” เป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ พร้อมสนับสนุนการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การขับเคลื่อน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ (ฉบับประชาชน) การเสนอร่างกฎหมายการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) รวมถึงการสนับสนุน ร่างกฎหมายสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อวางรากฐานด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับสุขภาวะของประชาชนในระยะยาว ในส่วนของปัญหาขยะมูลฝอย
 
“สสส. ให้ความสำคัญไม่แพ้กับประเด็นอื่น เนื่องจากปัญหาขยะมูลฝอยเป็นวิกฤติเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแนวคิด “ทิ้ง–เก็บ–กำจัด” ไปสู่ “ลดใช้-ใช้ซ้ำ–หมุนเวียน” พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบต่อทรัพยากรอย่างยั่งยืน สสส. เชื่อมั่นว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ปกป้องสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมที่รู้คุณค่าทรัพยากรอย่างแท้จริง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของคนไทยและโลกใบนี้” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ดร.สุจิตรา วาสนาดำรงดี นักวิจัยเชี่ยวชาญ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า “สถาบันฯ ได้ตระหนักถึงประเด็นปัญหาขยะที่กำลังเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่กระทบสุขภาพของประเทศไทยมาอย่างยาวนานและสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างและกฎหมายซึ่งทั่วโลกได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาเป็นแนวทางในการยกระดับการบริหารจัดการ “ขยะ” สู่การบริหารจัดการ “ทรัพยากร” ที่จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศด้วยการพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการลดของเสีย การใช้ซ้ำและรีไซเคิล ช่วยลดปัญหามลพิษจากของเสียและนำวัสดุโลหะมีค่าในผลิตภัณฑ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลับมาแปรใช้ใหม่ รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามเป้าที่กำหนด ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้เคยประเมินไว้ว่า หากประเทศไทยมีการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศไม่น้อยกว่า 1% และสร้างงานได้มากกว่า 160,000 ตำแหน่ง และช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้ายั่งยืน เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถรักษาหรือเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในตลาดสหภาพยุโรปที่เริ่มใช้กฏระเบียบด้าน CE (อาทิ ESPR, PPWR) มากำหนดเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าแล้ว การผลักดันให้มีกฎหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงช่วยให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (ลดของเสีย เพิ่มแหล่งวัตถุดิบรอบสอง) ควบคู่ไปกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย”






กำลังโหลดความคิดเห็น