รองนายกฯ เร่งทุกกระทรวง แก้ไข-ยกเลิกระเบียบที่เป็นภาระประชาชน เผย “มท.” ต้องปรับมากสุด แต่หวั่นใจ จะคุยเจ้ากระทรวงอย่างไร เพราะเป็นเจ้านาย หากทำได้จะปูทางไปสู่สมาชิกโออีซีดี ง่ายต่อการทำธุรกิจ ดูดนักลงทุน
วันนี้ ( 30 ต.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเร่งรัดและติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งรัดนโยบายสิ่งที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา คือ เรื่องของการยกเลิก แก้ไข เน้นไปที่กฎระเบียบ โดยจะแก้ไขตั้งแต่พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และกระบวนงาน ที่ทำให้ประชาชนเป็นภาระ ใช้เวลานาน มีค่าใช้จ่ายสูง
เดิมมีการศึกษาของ ทีดีอาร์ไอ และมีการศึกษาเรื่องนี้ เริ่มในยุค พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีการแก้ไขไปในส่วนหนึ่งแล้ว แต่มีอีกหลายเรื่องที่ยังคงติดขัดอยู่ โดยกระทรวงที่ต้องปรับมาก คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ มีความคืบหน้า รัฐมนตรีได้เรียกปลัดกระทรวงฯ มาหารือแล้ว ”ก็จะบอกว่าอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงดิฉันทำเต็มที่แน่ แต่ตนเองก็หวั่นใจ ว่าไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างไร เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นนายของตนเองด้วย แต่ก็ต้องคุย เราจะลงมือลุยงานกันอย่างยิ่ง จึงต้องขอความร่วมมือรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ปลัดกระทรวงฯ อธิบดีกระทรวงฯ ช่วยเมตตาลงไปขันชะเนาะลูกน้องหน่อย ให้รีบทำ รีบแก้ ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ คอจะขาด คอขาดบาดตาย ขอให้ขอให้ทางออก ว่าจะทำอย่างไรให้เร็วขึ้น“
นายบวรศักดิ์ ระบุอึกว่า เดือนแรกจะเป็นการประสาน หากเดือนที่สองยังทำไม่ได้ ตนเองจะรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ให้เชิญปลัดฯ อธิบดีฯ และข้าราชการที่รับผิดชอบ มาขอความร่วมมือหากเดือนที่ 3 ไม่สำเร็จ จะคิดมาตรการขั้นต่อไป ซึ่งอาจจะเป็นขั้นสุดท้าย หวังว่ากิโยตินที่ทำมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปี 2568 ระยะ 6 ปี น่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นในรัฐบาลอนุทิน 4 เดือน พลัส 2 -3 เดือน ตอนรักษาการ หากสามารถแก้ไขในส่วนนี้ได้ ตัวชี้วัดเราจะเพิ่มขึ้น 3 ส่วน คือ ความสามารถในการแข่งขัน ของไอเอ็มดี ตัวชี้วัดเรื่องหลักนิติธรรม นิติรัฐ ตัวชี้วัดธรรมาภิบาลของสถาบันธนาคารโลก จึงขอความร่วมมือทุกกระทรวง การยกเลิกกฎระเบียบและเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีการในการพิจารณาอนุญาตเรื่องต่าง ๆ เป็นเรื่องของบ้านเมือง
“ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี หรือของผมเอง แต่จะเป็นการยกระดับ สิ่งที่เรียกว่านิติธรรมของไทย และจะปูทางไปสู่การเป็นสมาชิกโออีซีดี ขณะนี้ในเอเชียมีน้อยมาก ไทยกำลังสมัครกับอินโดนีเซีย หากเราสามารถเข้าไปได้ เรื่องมาตรฐานการเงินการคลัง เกี่ยวกับเศรษฐกิจ กฎหมาย การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ จะดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยอีกมาก” นายบวรศักดิ์กล่าว


