"สุรเชษฐ์" ยัน นักการเมือง “ช” เอี่ยวสแกมเมอร์ ไม่ใช่ “ไชยชนก” เชื่อ "โรม" มีข้อมูลเยอะมาก ขู่เอาผิด ผกก.เมืองสงขลา หากไม่ดำเนินคดี ผู้ต้องหาบางราย
วันนี้ (28 ต.ค.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า ในเรื่องนี้เป้นหน้าที่ของรัฐบาล และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เอาข้อมูลเดิมที่ตนเองเคยทำไว้ในสมัยที่ยังรับราชการ และอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังมีข้อมูลชุดนี้อยู่ พร้อมระบุว่า ในสมัยที่ตนเองเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยังทำการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ได้ ดังนั้น ผู้บัญชาการ ผู้การ ต้องเป็นหลัก ต้องไปสืบสวนหาข้อเท็จจริง วันนี้ ในโรงพักเมืองสงขลา มีข้อมูลเต็มไปหมด ไปดูได้เลย วันนี้ผู้กำกับเมืองสงขลา ยังไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดบางราย ซึ่งข้อมูลนี้ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ก็มีอยู่ พร้อมฝากเตือนว่า ผู้กำกับเมืองสงขลา ว่า หากยังไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดบางราย ตนเองจะต้องดำเนินคดีกับท่าน ในข้อหา ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งข้อมูลเรื่องแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ มีอยู่จำนวนมาก แต่ตนเองไม่สามารถนำออกมาได้ แต่ถ้าตนเองยังเป็นตำรวจอยู่ ต้องจัดการอย่างแน่นอน
บิ๊กโจ๊ก ยังกล่าวถึงกรณีของรายชื่อนักการเมืองชื่อย่อ “ช” ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ นั้น ยังไม่ได้นำไปให้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เพราะ เชื่อว่า รังสิมันต์ โรม มีข้อมูลมากกว่าตนเองเยอะมาก และข้อมูลบางส่วนก็ตรงกัน แต่ยืนยันว่า นักการเมือง ช.คนนี้ ไม่ใช่ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อย่างแน่นอน พร้อมย้ำว่า วันนี้ตนเองไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง จะเห็นได้ว่า เมื่อวาน คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ ตั๋วตำรวจ เรื่อง พล.ต.ท. “ก” เกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร ซึ่งคดีนี้ตนเองเคยทำอยู่
เรื่องสแกมเมอร์ มี 2 คน ในประเทศไทย คือ นายกรัฐมนตรี กับ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมองภาพรวมในวันนี้ไม่มีความก้าวหน้าซึ่งต้องพูดตรงๆ ว่า ไปถามประชาชนที่ไหนก็ได้ เขาจะบอกว่าไม่มีความก้าวหน้า ซึ่งส่วนตัว ตนเองก็มีความเคารพท่านอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แต่ว่าวันนี้ตนเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความรู้ทางกฎหมาย และเคยทำเรื่องนี้มาก่อน ก็ต้องพูดตรงๆว่า มันเป็นแค่ละครและปาหี่ไม่มีความก้าวหน้า จากประสบการณ์การทำงาน เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมาก จะเห็นว่าพื้นที่แนวชายแดน อินเดีย ปากีสถาน ข้ามแม่น้ำเมยเข้ามา ไม่มีการคัดกรอง วันนี้ผบ.ตร. หรือ รอง ผบ.ตร. ไม่มีการลงไปตรวจสอบเลย ทิ้งให้ โรงพัก ซึ่งมีพนักงานสอบสวนอยู่ไม่กี่คน ต้องทำหน้าที่คัดกรองคนนับพันคน ซึ่งสมัยที่ตนเองทำเรื่องนี้ ได้เอากำลังจากส่วนกลางลงไปช่วย คัดกรองคนอย่างมีระบบ เอาสหวิชาชีพ เอา NGO หรือ สถานทูตของแต่ละประเทศลงไป อาหาร ยารักษาโรค เพื่อให้เขาเห็นว่า เรามีการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไร ดังนั้น เมื่อการคัดกรองไม่ได้ผล คนเหล่านี้ก็จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะเป็นการเพิ่มคนร้ายในประเทศมากขึ้น


