xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ อนุทิน เซ็นหยุดสงคราม ไร้ซ่อนเร้น – ไม่ต้องเกรงใจใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การลงนามปฏิญญานำไปสู่สันติภาพระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีไทย และรมว.มหาดไทย และ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา บนเวทีสุดยอดอาเซียน โดยมี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568
กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการเมืองและการทูตในภูมิภาค สะท้อนการยุติสงครามชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เงื่อนไขโปร่งใส ไร้ผลประโยชน์แอบแฝง

ข้อตกลงนี้เกิดจากการที่กัมพูชายอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย 4 ข้อ ได้แก่ ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ และจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนเพื่อความปลอดภัยและความร่วมมือยั่งยืน ถือเป็นผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ภายใต้กลไก JBC และ GBC ที่เดินหน้าอย่างเป็นเอกภาพ

นายกรัฐมนตรีอนุทินย้ำชัดว่า จะไม่มีการเปิดด่านหรือดำเนินการใด ๆ ที่อาจทำให้ไทยต้องยอมเสียดินแดน รวมถึงจะไม่ใช้แผนที่ 1 : 200,000 เป็นหลักอ้างอิง
พร้อมระบุว่าปฏิญญาฉบับนี้เป็นแนวทางร่วมเพื่อสร้างสันติภาพอย่างแท้จริงระหว่างสองประเทศ ภายใต้การจัดตั้งกลผู้สังเตการณ์อาเซียน หรือ AOT ซึ่งประกอบด้วยรัฐสมาชิกอาเซียน

“ไทยยึดมั่นในสันติภาพ ถ้อยแถลงทั้ง8 ข้อฉบับนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพที่ยั่งยืน และเป็นการเริ่มต้นฟื้นฟูความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ ที่เคยต้องสูญเสียจากความขัดแย้งที่ผ่านมา”
นายกฯ กล่าว พร้อมย้ำว่าหลังการลงนาม ทั้งสองฝ่ายจะเร่งถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน เพื่อรับประกันความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น ก่อนที่ไทยจะปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกควบคุมตัว โดยจะดำเนินการด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตของประชาชนชายแดน

จุดเริ่มต้นของสันติภาพครั้งนี้มาจากความตั้งใจของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ “อนุทิน ” ซึ่งไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำกัมพูชา การทำงานเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อรักษาอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

สถานการณ์นี้ต่างจากรัฐบาลเพื่อไทย ก่อนหน้าภายใต้ “แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งถูกตั้งคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นำกัมพูชา ทั้งกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และแนวคิดตั้งเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่รวมคาสิโนในไทย จนเกิดความไม่พอใจจากฝั่งกัมพูชา นำไปสู่การปะทะชายแดน มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน

ความตึงเครียดพุ่งสูงขึ้นเมื่อมีคลิปเสียง “อังเคิล” ซึ่ง “ฮุน เซน” กล่าวพาดพิงกองทัพไทยและแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม พร้อมพูดทำนองว่า “อยากได้อะไรก็บอกมา เดี๋ยวจัดให้” 

ขณะที่อดีตนายกฯ แพทองธาร ชี้แจงว่าเป็น “เทคนิคการเจรจา ” แต่กลับสร้างแรงกดดันทางการเมือง จนศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อ 29 สิงหาคม 2568 โดยชี้ว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง
หลังการเปลี่ยนรัฐบาล สภาฯได้เลือก “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างเร่งด่วน และในที่สุดนำไปสู่การลงนามปฏิญญาระหว่างฝ่ายไทย–กัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 

ต่อมา สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชารายงานว่าทั้งสองประเทศเริ่มถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์บางส่วนออกจากพื้นที่ขัดแย้ง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนร่วมตรวจสอบ พร้อมทั้งปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นาย และเห็นชอบให้จัดตั้งกลไกความร่วมมือถาวรระหว่างสองประเทศและระดับภูมิภาคที่เข้มแข็ง 

รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบูรพา วิเคราะห์ว่า การลงนามครั้งนี้เป็นการคลี่คลายความตึงเครียดชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แนวทาง “การทูตเชิงสมานฉันท์” ที่เน้นความโปร่งใส ยึดประโยชน์ประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ทางการเมือง และแสดงให้เห็นว่าไทยมีจุดยืนสร้างสันติภาพอย่างสมดุล ไม่เอนเอียงข้างมหาอำนาจใด

“หัวใจของความสำเร็จครั้งนี้คือ “การทำงานโดยไม่มีวาระซ่อนเร้น” ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นศูนย์กลาง จนไทยได้รับการสนับสนุนจากอาเซียนและสหรัฐฯ ในการยุติความขัดแย้ง สร้างเสถียรภาพในภูมิภาค รัฐบาลภูมิใจไทยพิสูจน์ให้เห็นว่า สันติภาพที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากอำนาจ แต่เกิดจาก “ความจริงใจ และความรับผิดชอบทางการเมือง” นักรัฐศาสตร์สะท้อน

แม้สงครามจะหยุดแล้ว แต่รัฐบาลอนุทินยังคงติดตามข้อตกลงอย่างใกล้ชิด พร้อมยกระดับเสนอให้ไทยเป็นเจ้าภาพปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และ ถึงวันนี้จะเริ่มต้นสันติภาพได้สำเร็จ แต่ไทยจะต้องไม่ประมาท และจะไม่ไว้วางใจผู้นำกัมพูชาเกินไป จนกว่าทุกเงื่อนไขจะถูกปฏิบัติครบถ้วนจริง






กำลังโหลดความคิดเห็น