‘พริษฐ์’ ย้ำเงื่อนไข MOA ยุบสภา ควบคู่แก้ รธน.-ทำประชามติ เชื่อ ปชช.ไม่อยากเห็นการยุบสภาเป็นอาวุธหนีการตรวจสอบ เผยหลัง พ.ร.บ.ประชามติมีผลใช้บังคับเป็นสัญญาณบวก ทุกอย่างยังเดินตามกรอบเดิม ยุบสภาภายใน 31 ม.ค.69 ยันร่างแก้ รธน.ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ กมธ. เร่งหาฉันทามติรูปแบบ ส.ส.ร.จากทุกพรรค
วันที่ 28 ต.ค. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึง สถานการณ์การเมืองปัจจุบันเชื่อว่าจะไม่มีการยุบสภาฯ ในปลายปีนี้ใช่หรือไม่ เพราะมีการเตรียมยื่นซักฟอกของพรรคเพื่อไทย ว่า เงื่อนไขการยุบสภาฯ 31 มกราคม และเป็นการยุบสภาฯ ควบคู่กับการทำประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ คือเป้าหมายที่เราจะมุ่งหน้าไปสู่ และคิดว่าประชาชนก็คงไม่อยากเห็นการใช้อาวุธเรื่องยุบสภาฯ เป็นเครื่องมือในการหนีการตรวจสอบ ดังนั้น พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน ในมุมหนึ่งก็อยากจะเดินหน้าทุกอย่างเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย MOA แต่อีกมุมหนึ่งก็ไม่ละเว้นหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลเช่นกัน
ต่อข้อถามว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจริง การลงมติจะออกมาในรูปแบบใด นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมองว่าต้องดูสาเหตุ ซึ่งเนื้อหาในการยื่นขออย่าไปจำกัดแค่พรรคใดพรรคหนึ่ง พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์เช่นกัน แต่เราก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านให้สมดุล เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายให้มีการเลือกตั้งพร้อมการทำประชามติควบคู่กับกลไกการตรวจสอบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ภาษีของประชาชน ส่วนพรรคประชาชนจะยื่นซักฟอกหรือไม่นั้น ตนยืนยันว่าเราจะใช้ทุกกลไกในการตรวจสอบ แต่ก็ต้องดูสาเหตุหรือการกระทำของรัฐบาลว่าเหมาะสมที่จะใช้กลไกใดในการตรวจสอบ
นายพริษฐ์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการทำประชามติและการยุบสภาว่า หลังจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ มีผลบังคับใช้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า กระบวนการเดินหน้าตามกรอบเวลาในบันทึกความเข้าใจ (MOA) จะเป็นไปได้ตามแผน โดยต้องยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อจัดทำประชามติและเลือกตั้งทั่วไป
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กมธ. อยู่ระหว่างเร่งหารือเพื่อสรุป โมเดลการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พร้อมย้ำว่าทุกร่างต้องอยู่ในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่ละพรรคอาจมีแนวทางต่างกัน แต่เป้าหมายคือการสร้างฉันทามติในสภา เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ได้จริง
“สิ่งสำคัญคือ ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา รวมถึงเสียง 20% ของฝ่ายค้าน และ 1 ใน 3 ของวุฒิสภา เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องออกแบบกระบวนการที่ทุกฝ่ายยอมรับได้” นายพริษฐ์ กล่าว พร้อมเผยว่า หาก กมธ. สรุปได้เร็ว อาจเสนอเปิดประชุมสมัยวิสามัญก่อน 12 ธันวาคม เพื่อพิจารณาวาระ 2 และ 3
ในส่วนของ การทำประชามติพร้อมการเลือกตั้ง นายพริษฐ์แสดงความกังวลว่า อาจเกิดอุปสรรคด้านการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยเฉพาะการออกเสียงล่วงหน้า พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะสามารถทำประชามติล่วงหน้าในประเทศได้หรือไม่ ดังนั้น กมธ. จะเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาหารือ เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจน อาจใช้ระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ควบคู่กับการเลือกตั้งล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนสามารถลงคะแนนเลือกตั้งและออกเสียงประชามติในครั้งเดียวกันได้
นายพริษฐ์ ยืนยันว่า ขั้นตอนที่ดำเนินอยู่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคำวินิจฉัยระบุไว้ชัดว่า ประชามติสามารถทำได้ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 1 และ 2 อาจรวมกันได้ ซึ่งรัฐสภาและรัฐบาลก็เห็นพ้องกันในแนวทางนี้ เป้าหมายของกระบวนการทั้งหมดไม่ใช่เพียง ทำให้เร็วแต่ต้อง ทำให้รอบคอบและเป็นฉันทามติเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และได้รับความเห็นชอบจากประชาชนอย่างแท้จริง


