วันนี้(27 ต.ค.)ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีไทยและผู้นำกัมพูชา ลงนามใน ข้อตกลงสันติภาพไทย–กัมพูชา ว่า ไม่มีสิ่งใดที่ประเทศไทยเสียเปรียบในคำประกาศร่วมดังกล่าว ตรงกันข้าม เอกสารนี้สะท้อนชัดว่า “สันติภาพ คือสิ่งที่มนุษย์ควรธำรงไว้”
ผศ.ดร.วันวิชิต ระบุว่า แม้ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชายังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และแม้สหรัฐอเมริกาจะทำหน้าที่เป็นสักขีพยานในการ “หย่าศึก” แต่ไทยมีความสุขุมพอที่จะรอให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลง 4 ข้อที่ไทยเสนอไว้ก่อน เมื่อดำเนินการครบทุกข้อ ความสัมพันธ์เชิงปกติจึงจะขับเคลื่อนไปตามขั้นบันไดแห่งความไว้วางใจได้
ทั้งนี้ ข้อตกลงทั้ง 4 ข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในเวทีโลก ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยผลักดันมาโดยตลอด ตั้งแต่การถอนอาวุธหนัก การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ ไปจนถึงการกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นข้อเสนอจากฝั่งไทย เพราะไทยเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
พร้อมกล่าวด้วยว่า การที่เรื่องนี้มาถึงจุดลงนามได้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจาก “ความอดทนและความพยายามอย่างต่อเนื่อง” ของทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนรัฐบาล ที่ฝ่ายไทยแสดงท่าทีชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเชิงการทูตที่แข็งกร้าวไม่ไว้หน้ากัมพูชา และมาตรการภาคสนาม เช่น การ “ปิดด่าน” เพื่อกดดันกัมพูชา รวมถึงจุดยืนของไทย ว่าเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ระดับภูมิภาค ทั้งหมดล้วนกดดันไปที่กัมพูชาทั้งทางตรง และทางอ้อม
“กัมพูชาเองน่าจะรู้ดีว่า หากยังบิดพลิ้วหรือไม่ยอมลงนามในข้อตกลงที่ไทยเสนอ ในอนาคตอาจต้องเจอกับแรงกดดันจากทั้งภูมิภาคและนานาชาติที่หนักกว่าปัจจุบัน” ดร.วันวิชิตกล่าว
พร้อมระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีไทยตัดสินใจลงนามครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึง “ความเชื่อมั่นในกลไกของอาเซียน” และความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ภายใต้สายตาเจ้าภาพมาเลเซีย โดยไม่ต้องอิงอำนาจจากประเทศใด แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้าร่วมในพิธีลงนาม แต่จีนเองก็กำลังจับตาท่าทีของอาเซียนอย่างใกล้ชิด
“สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ กัมพูชาต้องเริ่มต้นก่อน หากทำได้ครบทุกข้อ ไทยก็พร้อมจะเชื่อมั่น และบรรยากาศแห่งสันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในที่สุด” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าวทิ้งท้าย


