วันนี้( 26 ต.ค.)สืบเนื่องจากประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ได้จัดให้มีพิธีลงนามระหว่างไทยกัมพูชาในระดับทวิภาคี โดยนาย ดาโต๊ะ ชริ อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า ข้อที่ตกลงสันติภาพ มีเนื้อหาอย่างไร ไทยเสียดินแดนหรือไม่นั้น ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนชื่อดัง ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างไทยกัมพูชาที่ลงนามเพื่อสันติภาพระหว่างไทย – กัมพูชา ที่เรียกว่า Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Combodia And the Prime Minister of the Kingdom of Thailand หรือว่าด้วยแนวทางการดำเนินนโยบายการบริหารจัดการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยของสองประเทศ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนาย ดาโต๊ะ ชริ อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน นั้น จะต้องไปดูรายละเอียดเนื้อหาในข้อตกลงซ่อนอะไรไว้บ้าง โดยมีเนื้อหาในข้อตกลงสันติภาพเป็นอย่างไร ทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในทางปฏิบัติได้ยุติจริงหรือไม่ หรือว่าไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียง กลเกมสับขาหลอกเพื่อให้ฝ่ายไทยหลงกลฝ่ายกัมพูชาให้เปิดด่านชายแดนเท่านั้นเพราะการปิดด่าน ธุรกิจบ่อนกาสิโน สแกมเมอร์ แก๊งค์อาชญากรรมข้ามชาติได้รับผลกระทบมากกว่าการค้าขายบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา
การลงนามในระดับทวิภาคี หมายถึง การลงนามเพื่อให้มีผลผูกพันระหว่างรัฐหนึ่งกับรัฐอีกฝ่ายหนึ่งให้มีผลผูกพันระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ และการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างประเทศ ก็ได้
หากพูดภาษาชาวบ้าน คือ การลงนามสันติภาพ เป็นความจริงใจในการแก้ปัญหาชายแดนร่วมกันทั้งสองประเทศเพื่อให้จบปัญหาโดยเร็ว จึงใช้เวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ให้คนกลางมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ร่วมกันเป็นสักขีพยาน จะได้มีน้ำหนัก แต่การลงนามมีผลผูกพันประเทศไทยเพียงใด มิใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจ ต้องพิจารณาตามกฎหมายมหาชนระหว่างประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึกและสัญญาอื่นใดกับนานาประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
แต่เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ในระบบรัฐสภาเป็นฝ่ายบริหารไปลงนามในฐานะผู้นำประเทศ ย่อมมีอำนาจลงนามแทนรัฐได้เพราะกระทำในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารและมีอำนาจเต็ม แต่ต้องพิจารณาว่า ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับดังกล่าว มีเนื้อหา เพียงใด จะเหมือนกับ MOU 43/44 หรือไม่ หากหนังสือสัญญาสันติภาพ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออก พรบ.เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาและอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของ “รัฐสภา” ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 วรรคสองและวรรคสาม
พูดภาษาชาวบ้านว่า การลงนามสันติภาพระหว่างไทยกัมพูชาที่มาเลเซียต่อหน้า ปธ.ทรัมป์ นายอนุทิน สามารถกระทำได้ แต่ต้องดูเนื้อหาที่ไปลงนาม มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือผลกระทบต่อความมั่งคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางหรือไม่ หากเนื้อหาไปพัวพัน ต้องนำข้อตกลงสันติภาพ ไปขอความเห็นจากรัฐสภาอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ถึงจะมีผลผูกพันประเทศไทย หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ทำให้ข้อตกลงนั้นตกไป หรือสิ้นผลไป
แต่โดยหลักข้อตกลงสันติภาพ จะมีเนื้อหาเพียงสงบศึกกันชั่วคราว ร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ไม่ท้ารบกันอีกต่อไป แต่จะเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลักเกณฑ์ในการสงวนอำนาจไว้ในการทำสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก ได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้หลายฉบับ เป็นการให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง
แต่ในรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ได้บัญญัติเพิ่ม ได้แก่ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออก พรบ.เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาและสัญญาอื่นใดที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง เช่น สัญญาการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วนหรือหนังสือสัญญาอื่นใดที่กฎหมายบัญญัติ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบรัฐสภาให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบฝ่ายบริหารในเรื่องสัญญาหรือข้อตกลงอื่นใดที่จะผูกพันรัฐที่ทำให้รัฐเสียดินแดน เสียประโยชน์ ในอดีตสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับญี่ปุ่นหรือฝ่ายอักษะ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ทำให้ตกเป็นโมฆะ ทำให้ประเทศไทยพ้นจากเชลยศึกและรับผิดชอบค่าปฏิกรรมสงคราม ตามมาตรา 231 แห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย


